Pages

Monday, December 7, 2009

Prince EXO3 Rebel 95 (Gael Mofils)

Rating:★★★★★
Category:Other
วันนั้ขอแนะนำอุปกรณืที่น่าใช้อีกตัวนึง Prince EXO3 Rebel 95 โดยปกติแล้วผมไม่ค่อยจะชอบ Prince เท่าไหร่เพราะคิดว่า O-Port หรือ O3 technology มันทำลาย Feel ของไม้เทนนิสลงไปเยอะ เคยลองมาหลายไม้ครับ มันนุ่มก็จริงแต่ผมก็รู้สึกว่ามันขาดความแน่นไปเยอะมาก ไม่เคยมีอันไหนโดนใจสักอัน แต่พอได้มาลอง Rebel ตัวนี้แล้วต้องเปลี่ยนความคิดเลย

First Impression: บอกตรงๆว่าปัจจัยที่ทำให้ซื้อไม้ตัวนี้มาก็คือสีสันที่ดูดุดัน...แค่นั้นเอง EXO3 Rebel 95 เป็นแร็กเก็ตที่ใช้วัสดุ Graphite 100% ซึ่งแทบจะหาไม่ได้ในไม้รุ่นใหม่แล้ว เพียงแต่เจาะรูเพิ่มรอบๆเฟรมแค่นั้นเอง ไม้ตัวนี้เป็นอีกตัวนังที่จัดอยู่ในกลุ่มไม้ "ตีมันส์" (กลุ่มเดียวกับ Dunlop 4D AG300 Tour หรือ Head Radical หรือ Wilson KBlade) คือ 1.) เป็นไม้ที่เร่งหัวไม้ได้เร็ว 2.) Feel ที่แน่นเต็มหน้าไม้ 3.) ความอ่อนตัวบริเวณก้านที่ช่วยส่งแรงดีดให้เกิด power ที่เป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องออกแรงเค้นหรือต้องออมแรงมากเกินไป

Feel: ผมขึ้นเอ็นไม้ตัวนี้ด้วย Gamma Synthetic Wearguard 17 เพื่อให้รู้ถึง Feel ที่แท้จริงของไม้ พอได้ลองตีประมาณ 10 นาทีแรกก็ติดใจใน Feel ของไม้ทันที Prince EXO3 Rebel 95 ซึ่งมี string pattern 18x20 ให้ Feel ตอนกระทบลูกที่ "แน่นเต็มหน้าไม้" และออกจะดิบนิดๆคล้ายๆแต่ไม่เท่าพวก Head PC600 หรือ Pro Tour 630 จุดเด่นอีกอย่างคือคุณจะได้ยินเสียงลมตอนที่ลอดมาตามช่อง O3 ช่วงก่อนลูกกระทบหน้าไม้ เสียงจะออกประมาณ ฟี้วววว...เปรี้ยง บางคนชอบแต่บางคนก็อาจจะไม่ชอบนะครับ แต่ผมชอบแบบนี้แหละ มันส์สะใจดี

Ground Stroke: "Butterly Smooth" คงจะเป็นคำที่อธิบายได้ดีที่สุด เพราะ EXO3 ให้ความอ่อนของก้านไม้ช่วยให้การตี Ground Stroke ไหลลื่นและนุ่มนวลมาก Plow-Thru สูงใช้ได้ ปัญหาอย่างเดียวที่เจอคือเรื่อง Timing ใครที่ไม่เคยใช้ไม้ที่มีรูเยอะขยนาดนี้ อาจจะต้องปรับตัวครับ เพราะ Rebel ตัวนี้สามารถซวิงได้ง่ายมากเนื่องจาก Frame มีความเป็น Aerodynamic สูงมาก (ฟังจากเสียงลมที่ลอดผ่านรู O3 มาก็รู้ได้ครับ) ผมลองให้เพื่อนที่เป็นผู้หญิงลองซวิงเปรียบเทียบระหว่าง Prince EXO3 Rebel 95 กับ Dunlop AeroGel 200 ซึ่งน้ำหนักใกล้ๆกัน ขนาดหน้าไม้เท่ากัน และ string pattern เท่ากัน ต่างกันแค่ balance ที่ Rebel ออกจะหนักท้ายมากกว่า ปรากฎว่าเธอชอบ Rebel มากกว่าเพราะว่าซวิงง่ายกว่า แต่สำหรับผมเอง ผมยังมีปัญหาในการซวิงเนื่องจากว่ายังไม่ค่อยชินกับ timing ของ Rebel ที่เร็วกว่า AG200 หรือ PT630 แต่เมื่อใดที่ timing ได้และตีโดนแบบเต็มๆ ต้องบอกว่ามันส์แบบหาอะไรมาเทียบไม่ได้เลย Rebel เป็นไม้ที่ตี heavy ball ได้ดีแต่ลูกมักจะพุ่งไปไม่ถึงหลังเท่าไหร่ ไม่เหมือนกับพวก Baseliner Frame เช่น Dunlop AG200 กับ Head Pro Tour 630

Power/Control/Stability: Power ไม่น้อยไม่มาก ...แต่ผมว่ามันเป็นไม้ที่ให้เรากะประมาณ Power ได้ดีมากๆไม่นึงเลยทีเดียว คือเราใส่ไป 100% เราก็ได้ 100% ไม่ใช่ 70% (เช่น Head Radical หรือ Yonex RDiS) หรือ 120% (เช่น Babolat Pure Drive) เอาเป็นว่าเรียก Power In Control ได้เต็มปากครับ ส่วนเรื่อง Stability ก็ไม่มีปัญหา แถมอาจจะได้เปรียบกว่า AG200 หรือ Pro Tour 630 ถ้าเอามาเล่นหน้าเน็ทเนื่องจาก Rebel มีความคล่องตัวสูงกว่าอย่างชัดเจน

Overall Impression: ผมชอบไม้ตัวนี้มากๆ ถ้าใครกำลังมองหาไม้ที่แน่นๆใกล้เคียง AG200 หรือ PT630 แต่ต้องการความคล่องตัวของ AG300T หรือ Radical ก็ต้อง Prince EXO3 Rebel 95 ตัวนี้เลย สำหรับจุดเด่นต่างๆ ผมต้องให้ credit กับทีม Engineer ของ Prince ที่ออกแบบไม้ Prince EXO3 Rebel 95 มาได้เหนือข้อจำกัดทางการออกแบบหลายๆประการได้ดี เช่น
1. Maneuverability VS. Stability: ปกติไม้ที่ stable จะไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่ หรือไม้ที่คล่องตักก็มักจะไม่ stable เท่าไหร่ แต่ EXO3 Rebel สามารถ balance ทั้งสองปัจจัยได้ดีมากๆ ผมว่าเป็น Engineering of The Year เลยก็ว่าได้
2. Classic Feel VS. Modern Game: Prince ผสมผสาน 100% graphite เข้ากับการเทคโนโลยี EXO3 ซึ่งแก้ปัญหาเรื่อง Feel ที่พบในไม้ตระกูล O3 หรือ Ozone ที่ผ่านมาได้อย่างได้ผลมาก ในขณะที่ EXO3 ช่วยเสริมความคล่องตัวให้กับแร็กเก็ตสำหรับ All Court Game ในปัจจุบันด้วย





ผมเดาว่า EXO3 Port ตรงตำแหน่ง 12:00 อาจจะไม่จำเป็นนัก ถ้าอุดตรงนี้ได้น่าจะได้ความแน่นขึ้นอีกเยอะเลย







เปรียบเทียบ Prince EXO3 Rebel กับ Head Pro Tour 630 ที่มีความคล้ายคลึงกันทั้งรูปร่างและ String Pattern

Friday, November 6, 2009

Dunlop Aerogel 4D 300 Tour (Jurgen Melzer)

Rating:★★★★
Category:Other
วันนี้ขอเล่าประสปการณ์จากไม้ที่ไม่มีขายในเมืองไทยอีกตัวครับ ผมคิดว่าหลายๆคนคงสนใจ Dunlop Aerogel 4D 300 Tour อยู่เนื่องจากได้รับ feedback ที่ดีมากจาก Tennis Warehouse โดยเฉพาะเรื่องของ "FEEL" เผอิญว่ามีสมาชิกท่านนึงฝากซื้อมา แล้วผมก็เพิ่งได้ของมาเมื่อวานนี้เอง

สิ่งทีผมสังเกตอย่างนึงบนไม้ตัวนี้ก็คือ มันจะเป็น mold เดียวกับไม้ของ Tomas Berdych ที่ผมเคยลงรีวิวไว้ที่ http://suppawat.multiply.com/reviews/item/48 พอจับมาเทียบกันปรากฎว่าเท่ากันเป๊ะ grommet ใส่แทนกันได้เลย น้ำหนักและ balance ก็ใกล้ๆกัน Mold ตัวนี้เป็นที่นิยมในหมู่ ATP Pro มากไม่ว่าจะเป็น James Blake, Tomas Berdych หรือ Tommy Haas ผมเดาว่า Dunlop ทำ Aerogel 4D 300 Tour ตัวนี้มาไว้เพื่อสำหรับ customize โดยเฉพาะ โดยส่วนตัวผมก็สนใจไม้ตัวนี้ครับ แต่ตอนนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า เอาเป็นว่าใครอยากลองไม้ตัวนี้ต้องสั่งจาก USA อย่างเดียวเลยครับ...








Update 1: ตอนนี้มีขายที่เมืองไทยแล้วแต่มีจำนวนไม่มากมากนัก ประกันของ DLP ติดต่อที่ร้านคุณชูเกียรติได้เลยครับ ของเค้าดีจริงๆ เท่าที่ลองน็อคๆดูมีจุดเด่น 2 อย่าง

Feel: บอกได้เลยว่า "มันส์มาก" Feel ออกแนวแน่นและคม (เสียงดังสนั่นเหมือนตีบอลแตก) คล้ายๆกับ Head Radical MP กับ Wilson KBlade 98 ครับแต่ AG300T จะนุ่มกว่านิดนึงตามสไตล์ของ Dunlop น้ำหนักไม้รวมเอ็นประมาณ 320g แล้วก็ Balance หัวท้ายเท่าๆกัน แต่ด้วยขนาด frame ที่บางทำให้ซวิงได้ง่ายมากๆ

Pop: เห็น String Pattern แน่นๆแบบนี้ แต่ว่าหน้าไม้เด้งใช้ได้ ไม่ได้ดึ๋งดั๋งเกินไป แต่ก็ไม่ Dead เหมือน Radical กับ Kblade อีกส่วนนึงก็น่าจะมาจากความอ่อนของคอไม้ที่ช่วยในการดีดตัวของหน้าไม้ได้มาก มันน่าเป็นเอกลักษณ์ของ Mold ตัวนี้มั๊ง - ก้านบาง คอลึก (คว้านลงมาเกือบถึงด้าม) เพราะตัว AG200 Berdych ที่ใช้ Mold เดียวกัน ก็ดีดรุ่นแรงโดนใจเหมือนกัน


คอไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Mold ยอดนิยม ก้านบาง คอลึก ที่ช่วยให้ดีดลูกได้รุนแรง


Update 2: เมื่อวานได้มีโอกาสเอาไปลองลองคตอร์ทดูมีผลมาอัพเดทดังนี้ครับ

Groundstroke & Stability: Solid ใช้ได้สำหรับไม้ที่น้ำหนัก 320g อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้คือ Flex ของไม้ทีกำลังพอดีๆช่วยดีดลูกออกไปได้ถึง Baseline โดยไม่ต้องใส่กันเต็มๆ จุดเด่นคือความคล่องตัวทั้ง Forehand และ One-handed Backhand โดยเฉพาะด้าน One-handed Backhand นี่ผมว่าไม้ Dunlop ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ แต่ถามว่าไม้ตัวนี้เหมาะกับ Baseliner มั๊ย ก็คงจะไม่ใช่ 100% แน่นอนเพราะน้ำหนักน้อยไปหน่อย ถ้ายืนโต้กันท้ายคอร์ทนานๆมีโอกาสที่จะเจอปัญหาเรื่อง stability เหมือนกัน ถ้าเทียบกับ Head Pro Tour 630 หรือ Dunlop AG200 ก็ยังถือว่าเป็นรองอย่างชัดเจน ถ้าจะเล่นไม้นี้ให้สนุกผมว่า Footwork ต้องดีการถ่ายน้ำหนักต้องเยี่ยม แล้วมาเล่นแบบ All court จะดีกว่า

Slice: เนื่องจากผมไม่ได้ลงคอร์ทมานานมากแล้ว ลูกที่ยิงมาทาง backhand หลายๆลูกเก็บไม่ค่อยทันเลยต้อง slice กันเกือบตลอด AG300T ให้ slice shot ที่ถือว่าใช้ได้ครับ ลูกวิ่งเลียดดี ไม่เหินลอย แต่ลูกก็ไม่ค่อยพุ่งแรงเท่าไหร่

Control: ดีครับ String pattern แบบ 18x20 ช่วยให้รู้สึกว่าบอลเกาะไม้ดี การควบคุมทั้งทิศทางและ power เป็นไปอย่างดีไม่ฝืนธรรมชาติ

สรุป: Aerogel 4D 300 Tour ไม่ใช่ไม้ที่มี Classic Feel นุ่มๆแบบ Aerogel 200 นะครับ แต่มันจะออกแนวแน่นๆแบบ Modern มากกว่า อย่างที่บอกว่ามันเป็นไม้ที่ตีมันส์มาก (ถ้าเน้นสปีดบอล) ถือว่าเป็นไม้ที่ออกแบบมาได้ดีมากๆตัวนึงเลยครับ น้ำหนัก ความหนาของเฟรม รูปทรง บาลานซ์ และ Stiffness มันเอื้ออำนวยให้ถ่ายโมเมนตัมได้ดีมากๆเหมือนกับไม้ที่มีน้ำหนักเยอะเลย แต่โดยรวมถือว่าดีครับ Aerogel 4D 300 Tour เหมาะกับการเล่นแบบ All-Court และ Agressive Game เล่นแล้วรู้สึกว่ากลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง :)

Friday, October 16, 2009

Tennis Leather Grips

Rating:★★★★
Category:Other
สวัสดีครับ หลายคนจะสังเกตเห็นว่าตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีการพูดถึงอุปกรณ์เทนนิสกันกันแบบ Hard Core มากขึ้น หลายๆคนที่ผมได้รู้จักก็เริ่มให้ความสำคัญกับอุปกรณ์เทนนิสในแง่ "Feel" มากขึ้น สิ่งนึงที่เป็นที่พูดถึงกันทั้งในและต่างประเทศก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของ กริปหนังแท้ (Leather Grip)

ทำไมต้องกริปหนัง: ผมว่ามันก็คงจะเป็นคำตอบเดียวกับว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงใช้กระเป๋าหนังมากกว่ากระเป๋าผ้า ส่วนนึงมันก็เป็นเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีมีราคากว่า แต่อีกส่วนนึ่งก็คงเป็นเรื่องของ feel เพราะมันต้องสัมผัสกับผิวหนังเราโดยตรง ผมเดาว่ามนุษย์คงไม่อยากจะสัมผัสกับอะไรที่แปลกปลอมไปจากธรรมชาติที่ตัวเองเป็นมากมายนัก เทนนิสก็เหมือนกัน เราก็คงไม่อยากจะใช้อะไรที่มันรู้สึกแปลกปลอมกับร่างกายมากไปนัก เริ่มตั้งแต่ racquet เลย หลายๆคนที่ได้คุยกันจะรู้ว่าผมชอบเล่นไม้ graphite รุ่นเก่าๆ เพราะผมรู้สึกว่า
มันถูกออกแบบมาให้มีความอ่อนตัวที่คอไม้เพื่อให้เข้ากับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อท่อนแขน ข้อศอก หัวไหล่ ในการส่งแรงเหวี่ยงไปตีลูก และในขณะเดียวกันก็ต้องมีความแข็งแกร่งที่หน้าไม้เพื่อต้านแรงปะทะและเสริมความมั่นคงในการบังคับทิศทาง ง่ายๆเลย...มันต้องรู้สึกว่าเหมือนเป็นส่วนนึงของแขนเรา คงจะไม่มีใครที่ชอบไม้ที่แข็งตั้งแต่หัวจดปลาย หรือไม่ก็อ่อนปวกเปียกทั้งอัน อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ

ทีนี้มาถึงเรื่องกริปกันบ้าง จุดเด่นของกริปหนังก็คือการรักษา feel ที่ส่งมาจากไม้ถึงมือผู้เล่น เท่าที่ผมได้ลองใช้มาหลายยี่ห้อขอให้ feedback ดังนี้ครับ (ในภาพเรียงจากซ้ายไปขวา)



1. Head Finest Calfskin: ตัวนี้เป็นกริปหนังในตำนานครับ ตอนนี้ไม่มีขายแล้ว ผิวละเอียดนุ่ม แต่ลื่น feel ตอนที่ใช้กับร่วมกับ PC600 ดีมากๆ แต่ที่เหลือผมก็ไม่เห็นมันจะต่างจากกริปหนังอื่นๆเลย สิ่งที่ผมไม่ค่อยชอบคือ 1.) ความกว้างของกริป 22 mm. หา overgrip พันทับยากนอกจาก Wilson Pro Overgrip 2.) profile ของกริปจะป่องตรงกลางเพราะฉะนั้นจะพันให้เรียบไม่ได้เลยแม้ว่าจะ overlap กันเท่าไหร่ก็ตาม (ซึ่งผมชอบกริปแบบเรียบๆ)

2. Bosworth: ตัวนี้ต้องสั่งทำครับ ราคาแพงแต่มันเป็นกริปหนังที่มีคุณภาพสูงมาก ผิวของมันมีความละเอียดเนียนมากๆ และอ่อนตัวเข้าเหลี่ยมมุมได้ดี ผิวหนึบดี เวลาติดตั้งแล้วเรียบมากแทบจะไม่รู้สึกถึงตะเข็บเลย (เหมือนเอาด้ามไม้ไปชุบหนังมา) ผมว่ามันอาจจะเป็นเพราะเทคนิคการพันกริปที่เป็นเอกลักษณ์ของ Bosworth ด้วยนะ กริปตัวนี้ใช้เล่นแบบไม่พัน overgrip ได้ แต่มันจะกัดมือมากเนื่องจากผิวมันแนบกับด้าม racquet มากๆ ทำให้เหลี่ยมมุมต่างๆมันกัดมือ ถ้าหากริปตัวนี้ไม่ได้ผมว่าลองใช้ Volkl Calfskin ก็ได้ครับ

3. Wilson Leather: กริปตัวนี้หลายๆคนในต่างประเทศชอบกัน แต่ผมไม่ค่อยรู้สึกว่ามันเด่นเท่าไหร่ อย่างแรกคือ มันย้อมสีมาเยอะมาก บน K90 บางอันแดงแปร๋เลย เล่นได้แป๊บเดียวสีหลุดติดมือ อย่างที่ 2.) ผิวลื่นหลังจากสีหลุด ยังไงก็ต้องใช้ overgrip ความกว้าง 22 mm ซึ่งเท่ากับ Wilson Pro Overgrip (เหมือนล็อกสเปคไว้) ผมว่ามันแคบเกินไปสำหรับคนนิ้วใหญ่ อย่างที่ 3.) คือมันแพงกว่ายี่ห้ออื่นๆ

4. Head Leather Tour: อันนี้เป็นตัวใหม่ครับ ไม่ใช่ Calfskin แล้ว กริปสวยใช้ได้ นุ่มดี ความกว้าง 25 mm ผมลองใช้กับ Head YouTek Speed Pro มาก็พบว่าลื่นเหมือนของ Wilson เลย ยังไงก็ต้องมี overgrip

5. Volkl Calfskin: ตัวนี้เป็นกริปคุณภาพดีมาก หนังเป็นแบบ Calfskin (ลูกวัว) เพราะฉะนั้นความละเอียดและความนุ่มเหนือกว่ายี่ห้ออื่นๆที่มีขายอยู่ในปัจจุบันแน่นอน ถ้าได้สัมผัสจะรู้สึกคล้ายๆกับหนังชามัวร์ เหมาะกับทั้งการเล่นกริปเปลือยหรือพันทับ overgrip กริปตัวนี้ยังพอมีขายอยู่ที่ TW นะแต่พอออกมาได้แป๊บเดียวของก็หมดซะแล้ว กริปตัวนี้ติดตั้งได้ง่ายสุดๆ เพราะความอ่อนตัวของหนังทำให้มันสามารถพับตัวเข้าตามเหลี่ยมมุมได้ง่ายมากๆ นอกจากกริปของ Bosworth แล้ว Volkl Calfskin เป็นกริปอันเพียงอันเดียวที่ผมรู้สึกว่าพันไปแล้วเหลี่ยมของด้าม (bevel) ไม้ยังคมอยู่ ความกว้างกริป 25 mm. ความยาวที่ให้มาพออย่างเหลือๆ เหลือพอที่จะเอาหนังที่เหลือมาทำ Power Pad ได้อีกด้วย

6. Gamma Leather: กริปนี้ไม่ผิดหวังครับ ราคาถูกสุด เนื้อหนังละเอียดใช้ได้ ไม่นุ่มไม่แข็งเกินไป สีไม่หลุดติดมือ ติดตั้งง่าย ถ้าไม่พัน overgrip ทับก็ยังเล่นได้เนื่องจากผิวมีความหนึบพอสมวร แต่ถึงแม้ว่าโดนเหงื่อแล้วก็ไม่ลื่นมากเท่าไหร่ ตัวกริปมีความกว้าง 25mm ซึ่งเท่ากับความกว้างของ Tournagrip หรือ Toalson Overgrip พอดี ผมว่า Gamma Leather เหมาะกับการเล่นทั้งแบบ กริปเปลือย หรือใช้ Synthetic Overgrip ที่มีขนาดความกว้างที่แมทช์กันครับ ความคงทนไม่ต้องพูดถึง ผมใช้แบบ recycle กับหลากหลายไม้ได้อย่างไม่มีปัญหาครับ

7. Tenniswarehouse Private Label Leather (ไม่อยู่ในรูป): ผมเคยสั่งมาใช้ช่วงแรกๆครับ มี 2 ความกว้าง 2 ความหนา ผิวไม่ละเอียดเท่ากับยี่ห้ออื่นๆ แต่หนึบพอสมควร ตัวหนังยังไม่ผ่านการ Pre-Stretch มาก่อน เพราะฉะนั้นยังดึงได้อีก แต่ผมว่ากริปตัวนี้ยังมีปัญหาเรื่อง QC อยู่ ผมสั่งมา 2 ครังนี่แทบจะไม่เหมือนกันเลย ทั้งสีและความนุ่ม ครั้งแรกอ่อนนุ่ม ครั้งที่สองผิวออกแห้งๆคล้ายกระดาษ เลยเลิกสั่งครับ

ใครมีประสปการณ์จะมาแชร์กันเพิ่มเติมก็ขอเชิญเลยครับ วันไปก่อนล่ะ สวัสดีครับ


Update April 23 - Tip & Trick วิธีการพันกริปหนัง
เช้านี้ผมเอาบทสนทนา email ระหว่างผมกับ tournament stringer ท่านนึงมาให้ดูเกี่ยวกับเรื่องของการพันกริปหนังครับ ผมคิดว่ามันเป็น tip&trick ที่มีประโยชน์ดี (ขอไม่แปลละกันจะได้ไม่บิดเบือนไปมากครับ)

Sam: I just noticed that your racquet grips look really nice. Can you please share me a good technique in wrapping leather grip?

Stringer: heres what is important.
1. put 1 square of tape on each flat side of the buttcap so 2 squares total. then wrap double sided tape like a grip but with gaps not overlaping.
2. start grip on flat side of buttcap where tape is, give a good pull then staple it down with a nice small staple not a huge one. staple should be about 4mm wide. if you dont have staples dont worry you should still be ok.
3. then just give the grip a nice consistant pull as you wrap it it. peel up backing to tape as you wrap the grip that way you arent working with a sticky mess the whole time.
4. trim the grip put on the tape then you are all set.

Sam: Thanks a lot. Don't you normally put tape on the leather and then just wrap it on the handle? Is there any benefit of applying tapes on the handle instead of on leather? Actually, this is my first time using Head Calfskin. I really like it because it's softer and thiner than other brands. In addition to Head Calfskin, do you also prefer other leather brand?

Stringer: No its best to put tape on handle if you tape leather the tape will rip when you are streaching the leather. I promise this is the best way to do it. The head calfskin are the nicest leather grips.

กริป 2 อันทางขวามือเค้าทำ อีก 2 อันทางซ้ายเป็นน้ำมือผมเอง จะสังเกตุว่าเค้าดึงตึงกว่าผม ซึ่งจะทำให้ได้รอยต่อกริปที่เรียบเนียนกว่า ส่วนเรื่อง Head Finest Calfskin นี้เยี่ยมมากครับ บาง นุ่ม เข้ามุมง่าย เหลี่ยมมุมเสียน้อยมาก ที่สำคัญยังพอหาได้นะครับ แต่ต้องสั่งนำเข้า

Wednesday, August 12, 2009

Head YouTek Speed Pro (Novak Djokovic)

Rating:★★★★
Category:Other
ในที่สุดวันนี้ก็มีเวลาว่างมานั่งเขียนเล่าประสปการณ์เกี่ยวกับอุปกรณ์เทนนิสอีกแล้ว คราวนี้เป็น Head YouTek Speed Pro ซึ่งเป็นที่ฮือฮากันพอสมควรในเว็บบอร์ดของต่างประเทศ ผมเองก็รอมานานเหมือนกันแต่ในเมืองไทยไม่มีกริปขนาด 4-3/8" เลยต้องไปซื้อกันถึงสิงคโปร์ (ร้าน Transworld Sports) แต่ถ้าใครใช้กริป 4-1/4 ผมแนะนำให้ซื้อที่เมืองไทยดีกว่าครับ



First Look: ความรู้สึกแรกที่เห็นชอบมากๆ วางแทบไม่ลง สีสันสวยมาก(ทั้งๆที่มีแต่ขาวกับดำ) เฟรมบาง แน่นตัน งานเนี๊ยบมากๆ คราวนี้ผมว่า Head ทำไม้ตัวนี้ออกมาได้เนี๊ยบกว่า Yonex ซะอีก

Grip: กริปเป็นหนังแท้(กลิ่นเหมือนกระเป๋าสตางค์) แต่ค่อนข้างจะแห้งและลื่นไม่เหนียวเหมือนกับของ Gamma ที่ผมชอบที่สุดคือรูปร่างของกริป (grip shape) ที่ Head ทำออกมาไม่แบนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว (แต่เป็นเฉพาะตัว Speed Pro นะครับ ตัวอื่นยังแบนๆอยู่) ซึ่งจับได้ถนัดมือมากๆคล้ายๆกับกริปของ Wilson ผมเดาว่าอาจจะเป็น Grip shape ที่ Djokovic ใช้อยู่ก็ได้

Speed Pro is not Djokovic's racquet: ถึงแม้ว่า Speed Pro จะเป็นไม้ที่มีลายเซ็นของ Djokovic พิมพ์อยู่ แต่มันก็ไม่ใช่ไม้ที่ spec เดียวกับที่เค้าใช้อยู่ในปัจจุบัน มองจาก String Pattern ก็รู้ Speed Pro เป็นแบบ 16x19 แต่ตัวที่ Djokovic ใช้จริงๆเป็น 18x20 ซึ่งเรื่องนี้ทาง Head ออกมาชี้แจงว่า Djokovic ได้เปลี่ยนมาใช้ Speed MP 18x20 แล้ว

First Hit: ผมเพิ่งได้ตีไปประมาณ 2-3 ชั่วโมงแล้ว ก็ยังพยายามปรับตัวให้ชินกับไม้ตัวนี้อยู่ ยอมรับว่าไม้ตัวนี้ตียากมากๆ ด้วยความที่น้ำหนักของไม้ตัวนี้ค่อนข้างเยอะทำให้ต้องโหมกันเต็มที่ ยังไงก็ยังไม่ชินซะที ถ้าจะให้เปรียบเทียบเหมือนกับไม้ตัวนี้เป็นลูกผสมประมาณว่า พ่อเป็น Head Radical แม่เป็น Babolat Pure Drive แต่โดยรวมแล้วออกมาทาง Radical มากกว่า ความรู้สึกแรกที่แยกแยะออกมาได้ 2 อย่างคือ

ความรู้สึกที่ก้านไม้: ผมคาดหวังกับไม้ตัวนี้สูงมาก ถ้าดูจากคำบรรยายสรรพคุณว่า d3o จะปรับ stiffness ของตัวเองได้ ง่ายก็คือเวลาที่อัดลูกหนักตัวเฟรมจะแข็งขึ้น แต่ถ้าเป็นช็อตเบาๆ stiffness จะลดลงทำให้ก้านไม้มีความอ่อนตัวลง แต่เท่าที่ลองๆมาผมว่ามันก็แข็งโป๊กอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะตีเบาหรือหนักแค่ไหนก็ตาม ไม้ไม่ค่อยดีดลูกเนื่องจากไม่มีความอ่อนตัว (flex) ของก้านไม้เหมือนกับ Wilson USK90 ถ้าต้องการ Power ก็ต้องโถมกันสุดตัว ความแข็งของก้านคล้ายกับ Babolat Pure Drive ซึ่งผมก็ยังไม่เห็นว่า d3o มันช่วยยังไง

ความรู้สึกที่หน้าไม้: ผมขึ้นเอ็น hybrid ของ Boris Becker ไว้ที่ 55 ปอนด์ เมื่ออัด flat จะไม่ค่อยรู้สึกถึง feel ของหน้าไม้เท่าไหร่ หน้าไม้นิ่งใช้ได้ แต่ power น้อยมาก Shots แรกๆที่ตีไม่ข้ามเน็ทเลย ผมให้เพื่อนผมลองก็เจอปัญหาเรื่อง power เหมือนกัน แต่พอลองปรับวงซวิงโดยพลิกข้อมือให้เปิดมากขึ้นแล้วใส่ spin เข้าไปจะเริ่มเห็นความโดดเด่นออกมา ลูกที่หวดออกไปจะพุ่งมากกว่าเดิมและหนักแน่นขึ้น Head Speed Pro ให้สปินได้ "หนักแน่นและคมมากๆ" แล้ว power ก็มากกว่าตอนที่ตี flat ซะอีก ตรงนี้ผมว่ามันคล้ายๆ Head Radical อยู่เหมือนกัน แต่ spin เยอะกว่า ในแง่ของ Spin แล้ว ผมอยากจะเทียบกับไม้อีกตัวนึงคือ Babolat AeroPro Drive (APD) ผมว่า APD จะให้ RPM (Rotation Per Minute) ที่สูงกว่า แต่ Speed Pro จะให้ทั้ง RPM ที่โอเคแต่ให้ Feel ที่หนักแน่นกว่าเห็นๆครับ Slice ก็โดดเด่นเช่นกันความที่เป็นไม้หน้ากว้างทำให้เอ็นกัดบอลได้ยาวกว่าแล้วน้ำหนักของไม้ช่วยเพิ่ม momentum ให้ลูกพุ่งดีมากๆ

แล้วยังไงต่อ: เท่าที่ลองๆมาผมว่ามันก็มีความพิเศษแตกต่างจากไม้ที่ผมได้เคยลองๆมาเหมือนกัน โดยรวมๆมันเป็นไม้ที่น่าลองสำหรับคนที่ชอบตี Spin แต่ต้องการ feel ที่หนักแน่นเป็นพิเศษ ไม่กลวง (hollow) เหมือนไม้น้ำหนักเบาตัวอื่นๆ หรือใครที่เคยเป็นขาประจำของ Head Radical ผมว่า Speed Pro ก็น่าลองเหมือนกันครับ ...ผมยังมีชั่วโมงบินกับ Head Speed Pro น้อยเกินไปกว่าที่จะให้ความเห็นได้อย่างละเอียด ก็ไว้ผมได้ลองเล่นมากกว่านี้ จะมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมครับ

ขอขอบคุณ Sport Nova ที่ให้เอ็น Boris Becker B-Xtreme กับ Sensor มาลองครับ







ผมว่า L5 Swing Index ไม่ค่อยตรงเท่าไหร่นะ ผมว่า Head Prestige (L7) ของผมตีง่ายกว่าอีก


น้ำหนัก 335g ดูแล้วเหมือนจะมากมายอยู่แต่พอจับมาลองซวิงดูจะพบว่ามันไม่ได้หนักอย่างที่คิดครับ


พอใส่ Dampener เข้าไป Speed Pro ก็ดูดีขึ้นอีกเยอะเหมือนกัน


Grommet เป็นแบบ Teflon เพื่อลดแรงเสียดทานระหว่างเอ็นกับตาไก่

Saturday, July 25, 2009

Volkl and Boris Becker Strings

Rating:★★★★
Category:Other
Volkl Gripper: Feel is everything
ถ้าเน้นที่ feel ล้วนๆก็ต้อง Volkl Gripper เลยครับ เท่าที่ลองๆมา Gripper เป็นเอ็นที่รีดเอา feel ที่แท้จริงของไม้ออกมาได้ดีมากๆตัวนึง ผมเอา Gripper ไปขึ้นบน Head PC600 มาแล้วปรากฎว่า "ใช่เลย" Feel ออกดิบๆแน่นๆ ได้ใจมาก สปินดีเพราะเอ็นกัดบอลดีพอควร แต่ผมไม่ค่อยได้สังเกตถึงความนุ่มนวลเท่าไหร่นะ (ผมได้เอาไปลองขึ้นบน PB10 เหมือนกันแต่ไม่ค่อยจะเวิร์คเท่ากับชุด hybrid) ใครมีไม้กราไฟต์เก่าๆที่มี feel ดีๆ หรือไม้ที่มีเอ็น 18x20 ผมแนะนำ Gripper เลยครับ ผมได้ไปลองเจ้าตัว Gripper มา 3 ครั้งแบบ full job บน Head PC600 (18x20) แล้วผลมีคร่าวๆดังนี้ครับ



- เทียบกับ Babolat Xcel Premium 17 ตัวเก่า (ตอนนี้ไม่มีขายแล้ว ตัวใหม่ก็ไม่ค่อยเวิร์ค เด้งเกินไปหน่อย) ที่ความตึงเท่ากัน: power พอๆกันแต่เด้งน้อยกว่าและนุ่มน้อยกว่า ตรงนี้สำคัญนะครับ เพราะหลายๆคนมักจะมองหาความนุ่มนวลจากเอ็น multifilament แต่ Gripper นี่จะออกแนว Firm & Dead & Raw มากกว่า (แต่ก็ไม่แข็งโป๊กเหมือนพวกเอ็น Technifibre) โดยส่วนตัวผมชอบ feel ที่ออกแนวเอ็น dead แบบนี้นะมันรู้สึกว่านิ่งดี control ลูกก็ง่าย จุดเด่นอีกอย่างคือสปิน เอ็นกัดบอลดีมากขนาดไม้หน้าเล็ก 93 และเอ็นถี่ขนาด 18x20 ยังพอปั่นสปินได้

- เทียบกับ Pro Supex Maxim Touch 17 ที่ความตึง 50 lbs: คล้ายกันมากๆ คือเอ็นให้ความรู้สึกที่ดิบพอๆกัน power ก็พอๆกัน ไม่รู้ว่าเอ็นที่มาจาก German มันมาจากที่เดียวกันหรือเปล่า แต่มันก็มีข้อแตกต่างที่ชัดเจนคือ Gripper รักษาสภาพเอ็นได้ดีกว่า ผิวเอ็นลื่นไม่โทรมเร็วเหมือน Pro Supex Maxim Touch เอ็นไม่ค่อยเคลื่อนเท่าบนไม้หน้า 18x20



Boris Becker Bomber: the pillow
เท่าที่ผมสังเกตช่วงนี้มีเอ็น co-poly ออกมาเยอะอยู่ ที่ผมได้ลองแล้วชอบมากๆก็มี Boris Becker Bomber ครับ Bomber ตัวนี้เป็น Co-Poly จากค่าย Boris Becker ทางตัวแทนจำหน่ายบอกว่านุ่มน้อยกว่า Gut อยู่นิดนึง ผมก็เชื่อครึ่งนึงเพราะที่ผ่านมา Boris Becker ทำเอ็น Hybrid (Sensor + B-Xtreme) ได้ดีถูกใจมาก กระด้างน้อยกว่า hybrid ตัวอื่นๆ ผมขึ้น Bomber บน KPS88 ที่ 55 ปอนด์ซึ่งเดิมขึ้น Pro Supex Maxim Touch ซึ่งเป็นเอ็น multifilament ไว้ทีประมาณ 50-52 ปอนด์ ปรากฎว่า Boris Becker Bomber นุ่มกว่าเยอะ นุ่มเหมือนหมอนหนุนเลยก็ว่าได้ น่าแปลกใจที่เอ็น Co-Poly นุ่มกว่าเอ็น Multi แล้ว power ก็เยอะกว่าด้วยทั้งๆที่ความตึงมากกว่า จะเรียกว่าเอ็นพลังช้างสารเลยก็ว่าได้ มันเลยทำให้ KPS88 เล่นง่ายกว่าเดิมเยอะเลย โดยรวมผมว่า Bomber เหมาะกับคนที่ชอบตีเน้น flat ครับ ใครที่ชอบเอ็นนุ่มๆแนว multi หรือ gut น่าจะลองเอ็นตัวนี้ดูครับ








Boris Becker Sensor & Boris Becker B-Xtreme: the favorite hybrid
ตอนนี้ผมเริ่มติดใจ hybrid แล้ว ที่ชอบสุดๆก็เป็น Boris Becker Sensor กับ Boris Becker B-Xtreme ครับ เป็นชุด hybrid ที่เด่นในเรื่อง feel กับ power ตอนนี้ผมใช้เป็นเอ็นหลักบน Technifibre TF320 VO2 Max กับ Volkl PowerBridge 10 Mid ซึ่งมี 16x19 string pattern ทั้งคู่ เอ็นล็อคตัวกันดีมาก อาจเป็นเพราะเอ็น poly (B-Xtreme) ที่นุ่มกว่า poly ตัวอื่นๆทำให้มันเกาะกับเอ็น multi (sensor) ได้ดี ตีแล้วให้ความรู้สึกหนักแน่นกว่า hybrid หลายๆชุดที่ลองมาครับ ผมว่าช่วงหลังๆนี่ Boris Becker ทำเอ็นออกมาได้โดนใจมากๆโดยเฉพาะเรื่อง"ความนุ่ม"






Volkl Cyclone: the spin maker
Volkl Cyclone เป็น Soft Co-Poly ที่ค่อนข้างจะ "เหลี่ยมจัด" ครับ มีประมาณ 10 เหลี่ยมได้มั๊งเนื้อเอ็น เมื่อขึ้นแบบ full job จะพบว่าหน้าไม้สากมาก ลูบๆนี่มือมีถลอกแน่นอน น่าจะกัดบอลได้ดี มีทั้งเบอร์ 17 และ 18 เท่าที่ลองเดาะดู Firm ดีครับ คนที่ใช้ MSV Hex มาน่าจะลองดูนะ ผมเอา Cyclone ไปขึ้นบน Volkl PB10 Mid ที่ 55 ปอนด์ปรากฎว่า stiff มากๆ รู้สึกเลยว่าหน้าไม้ weak ลงไปเยอะ power น้อย แต่ปั่นลูกได้หมุนติ่วสมชื่อ cyclone เลยทีเดียว ผมตั้งสมมติฐานไว้ว่ามันไม่น่าจะเหมาะกับไม้หน้าเล็กๆเท่าไหร่ ทีนี้ผมเอามาลองใหม่บนไม้ที่หน้าใหญ่ขึ้นเช่น Wilson K Pro Open (100 sq.in) กับ Volkl PowerBridge V1 (102 sq.in) ปรากฎว่าเวิร์คกว่าจริงๆด้วยเพราะมันลด power ที่มีอย่างมากมายในไม้เหล่านั้นลงมาในระดับที่ควบคุมได้ในขณะที่ได้ spin potential เพิ่มเข้ามา ใครที่จับกริปแบบ Extreme Western น่าจะชอบเอ็นตัวนี้








Special Thank: ขอขอบคุณ Sport Nova (081-836-7042) ที่ให้เอ็นมาลองครับ