Rating: | ★★★★ |
Category: | Other |
Credit: ภาพจาก http://deportes.orange.es
เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันดีกว่า เมื่อปลายปีที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้คุยกับ user บางคนนึงที่ TW เกี่ยวกับไม้ของ Verdasco ที่ประกาศขายไว้เพื่อเช็คว่ามันเป็นของ Verdasco จริงหรือไม่แล้วก็ลองสืบประวัติเกี่ยวกับไม้ตัวนี้ดู สรุปได้ว่าก็มีมูลพอสมควรเลยตัดสินใจต่อรองแล้วก็ซื้อมา สภาพของไม้ที่ได้มาสมบูรณ์มากๆ แทบจะไม่มีรอยเลย หลายๆคนคงสงสัยว่ามันเป็น Technifibre TF320 VO2 Max เหมือนที่ขายกันหรือไม่ ตอบได้เลยครับว่าคนละเรื่องเลย เอาไม้มาเทียบกัน side-by-side แล้วก็ยังหาจุดที่เหมือนกันไม่ได้ ตัวเฟรมของ TF Verdasco จะออกสี่เหลี่ยมกว่าอย่างชัดเจน หน้าไม้ก็เป็นรูปไข่ในขณะที่ retail version จะออกแนว isometric นิดๆคล้าย Yonex หลังจากสืบประวัติดูพบว่า Mold ตัวเดียวกับ Technifibre Major Bullit (หรือ Elite ก็ไม่แน่ใจ) ซึ่งเป็นไม้รุ่นเก่ามาก แต่มี Graphite Lay-Up ที่แตกต่างจาก Major ทำให้ไม้มีความอ่อนตัวพอสมควร ผมลองซวิงลมเล่นๆก็ถือว่าลู่ลมใช้ได้ทั้ง Forehand และ Backhand
ที่ด้านในของคอไม้มีเขียนชื่อ F.Verdasco กับธงชาติสเปน
ทดลองตี: ผมได้ลองเล่นมาประมาณ 2 ชั่วโมงได้ มีผลแบบคร่าวๆดังนี้ครับ
Feel: ผมคาดหวังมากว่าไม้ตัวนี้มันต้องออกแน่นๆหนักๆ แต่ที่ใหนได้ผมว่ามันเป็น Pro Stock ที่ไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่ถ้าเทียบกับพวก Head Pro Tour 630 หรือ Dunlop Aerogel 200 เนื่องจาก Sweet Spot มันเล็กมาก แต่ถ้าตีโดนตรงกลางก็ถือว่าแน่นใช้ได้แต่ก็ยังออกกลวงๆ (Hollow) นิด ถ้าเทียบกับตัว TF320 VO2 Max ที่เป็น retail version จะมีข้อแตกต่างในแง่ของ feel 2 ประการ 1.) ตัว retail มี sweet spot ที่ใหญ่กว่า ตีง่ายกว่าเยอะเลย 2.) ตัว retail หน้าไม้ดูดลูกดีกว่าทำให้รู้สึกว่ามันแน่นกว่าอย่างชัดเจน สรุปแล้วเรื่อง Feel ไม่มีอะไรโดดเด่นสำหรับไม้ตัวนี้
Power & Stability: ตอนแรกผมเข้าใจว่าไม้จะแข็งโป๊กเพราะพวกตี Spin มักจะเล่นไม้แข็งๆ ความรู้สึกแรกที่นึกได้คือ ไม้ Verdasco เป็นไม้ที่มี Stiffness ใกล้เคียงกับพวกไม้ประเภท "ตีมันส์" เช่น Dunlop Aerogel 4D 300 Tour หรือ Head YouTek Radical MP ซึ่งมี Flex Rating ประมาณ 63RA เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบสไตล์ All-Court เพราะฉะนั้นไม้ตัวนี้ Power น้อย Plow-Thru ต่ำต้องออกแรงเข่นเอาเรื่องอยู่ ถ้าจะตี backhand ก็ต้องสองมือถึงจะเหมาะ ส่วนเรื่อง stability นี่ต้องมีเพิ่มตะกั่วกันแน่นอน เนื่องจาก sweet spot เล็ก โอกาสที่ไม้จะบิดไปมาเมือตีลูกมีสูง
คอไม้ของ Verdasco มีหน้าตัดเป็น Box Beam ในขณะที่ Retail จะออกมนๆกว่า
Grommet จะคล้ายๆกับระบบ Woofer ของไม้ Babolat
ที่ Bumper มีคำว่า Major เขียนไว้อย่างชัดเจน
กริปเดิมของ Verdasco เป็น 4-1/2" แต่เจ้าของคนล่าสุดเปลี่ยนเป็น 4-3/8" Grip Shape จะคล้ายกับของกริป Wilson
คร่าวๆก็คงมีแค่นี้ครับ ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนไม่มีจุดเด่นเลย(สำหรับผม) เพราะมันถูกออกแบบมาสำหรับผู้เล่นที่มีความแกร่งอย่าง Verdasco เท่านั้น แต่เนื่องด้วยมันเป็นไม้ที่มี Look & Character ของนักสู้อยู่มากมายซึ่งเข้ากับบุคลิกและสไตล์การเล่นของ Verdasco ทำให้มันมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับนักสะสมมากครับ
No comments:
Post a Comment