Pages

Wednesday, December 22, 2010

เอ็น Isospeed Axon Multi, Kirschbaum Pro Line II, และ Kirschbaum Spiky Shark

Rating:★★★★
Category:Other
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทาง Thai Tennis Mania Group หรือ TTMG ที่ให้เอ็นทั้สามชุดนี้มาลองนะครับ จริงๆผมได้เอ็นชุดนี้มาตั้งแต่ก่อน Thailand Open 2010 อีกแต่เพิ่งจะมีโอกาสได้ทดลองจริงๆจังเมื่อต้นเดือนนี้เอง มาเริ่มที่เอ็น multifilament กันก่อนเลยดีกว่า ปี 2011 เทรนด์ของเอ็นมัลติแบบสี มาแน่ๆครับ หลายๆค่ายกำลังซุ่มพัฒนาอยู่ ถ้าดูใน Talk Tennis จะเห็นว่าเริ่มมีการทดสอบแบบไม่เปิดเผยแบรนด์ (Blind Test) เกิดขึ้นบ้างแล้ว รวมไปถึง Volkl Venom Multi ที่ได้รับ feedback ที่ดีมากจากเจ้าของไม้ที่ผมยืมไปทดลองจากกระทู้ http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=thaitennis&topic=12094[/url] ส่วน Isospeed ก็มีเอ็น multi แบบสีเหมือนกัน ชื่อว่า Axon Multi ผมขึ้นเอ็นตัวนี้บน Head PT10 แล้วก็ลองตีประมาณชั่วโมงกว่าได้ผลดังนี้ครับ

First Impression: เอ็นสีสวย แกนในเป็น mono และหุ้มด้านนอกด้วย multifilament ใสๆที่ผิวค่อข้างบาง แต่ข้อเสียที่เห็นชัดเจนคือผิวเอ็นเป็นขรุยได้ง่ายตั้งแต่ขึ้นเอ็นโดยที่ยังไม่เริ่มตีเลย
Feel: โดยรวมคล้ายๆ soft poly มากกว่าที่จะเป็น multi เอ็นให้ feel ที่เงียบขณะตีไม่มี feel ของความดิบเหมือนพวก Volkl Power Fiber II ที่เป็น power multi เหมือนกัน
Power: เป็น multi ที่ให้ power สูงมากแม้ขึ้นบนไม้ control ก็ยังมีอาการหลุดออกหลังบ้าง แต่โดยรวมถือว่า ok ครับ
Slice/Spin: ถือว่าดีกว่าคู่แข่งหลายๆค่ายครับ เป็นจุดเด่นรองจากเรื่อง power ด้วยความที่เอ็นเป็นเว้นเล็กมากทำให้สามารถกัดบอลได้ดีกว่า และ slice ก็ให้ลูกที่พุ่งเลียดเน็ตดีมากๆ

Isospeed Axon Multi บน Head PT10




เอ็นที่เพิ่งขึ้นเสร็จ ยังไม่ได้ตีเลย


ตัวที่สองเป็น Kirschbaum Pro Line II ซึ่งผมได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้วตั้งแต่เป็น Pro Line I ผมขึ้นเอ็นตัวนี้บน DONNAY X-Dark Red 94 เอ็นตัวนี้น่าจะมี 2-3 สี เหลือง แดง และดำ Pro Line II เป็นเอ็นผิวเรียบ ผิวเอ็นมีความนุ่มขึ้นเอ็นง่าย

Feel: ให้ feel ที่เงียบ (mute) และเส้นตั้งและนอนล็อกตัวกันดี ไม่มีเสียง ping ออกตื้อนิดๆ เมื่อสัมผัสบอลให้ feel ที่นุ่มนวลไม่สะท้าน แต่เอ็นไม่ค่อยยืดตัวเท่าไหร่ จะเรียกว่า stiff ก็ว่าได้แต่ผิวเอ็นไม่กระด้างแน่นอน
Power: น้อย ถือว่าเป็นเอ็นคอนโทรลที่ดีตัวหนึ่งถึงแม้ว่าเอ็นจะไม่ค่อยอุ้มบอลเท่าไหร่ด้วยความที่เอ็นยืดตัวน้อย ถ้าขึ้นกับไม้หน้าใหญ่ๆเพื่อลด power น่าจะ work กว่าครับ ถ้าขึ้นบนหน้า MP+ อาจจะให้ power น้อยเกิน
Slice/Spin: ไม่โดดเด่นเท่าไหร่ ผมว่าเอ็นตัวนี้เหมาะกับการตี flat มากกว่าครับ






ตัวสุดท้ายเป็น Kirschbaum Spiky Shark: ซึ่งเป็นเอ็นสิบเหลี่ยม มีกี่สีไม่แน่ใจแต่ที่ผมใช้เป็นสีเหลือง ผมขึ้นเอ็นตัวนี้บน Babolat Pure Drive Roddick ซึ่งจริงๆแล้วผมอยากสลับมาขึ้นบน DONNAY X-Dark Red มากกว่าแล้วเอา Pro Line II มาขึ้นไม้นี้ ผมตีเอ็นตัวนี้ได้ไม่นานครับเนื่องจากไม่ค่อยสันทัดเรื่องเอ็นกระด้าง

Feel: แข็งและกระด้างคล้ายๆกับ Babolat Pro Hurricane Tour แต่ต่างกันที่ PHT จะเป็นเอ็นเรียบแต่ตัวนี้เป็นสิบเหลี่ยม มีเสียง ping มารบกวนอยู่พอสมควร
Power: กลางๆครับ อยู่ระหว่าง Axon Multi กับ Pro Line II
Slice/Spin: ดีใช้ได้ครับ แต่ผมชอบ spin/slice จาก Axon Multi มากกว่า เอ็นตัวนี้โดยรวมน่าจะเหมาะกับคนที่ชอบ poly แบบดั้งเดิมคือแข็งๆกระด้างๆ ถ้าจะขึ้นเอ็นตัวนี้แบบ full job แนะนำให้ขึ้นเป็น 4 ปมครับ เพราะคุณอาจจะไม่ชอบความกระด้างของมันแล้วก็ตัดเส้นนอนทิ้งก็ได้




Wednesday, December 15, 2010

วิธีการจัดการบริหารอุปกรณ์ไม้เทนนิส

Rating:★★★★★
Category:Other


ตามที่ได้ตกลงกันไว้ในกระทู้ก่อนหน้านี้ว่าจะมีมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุปกรณ์เทนนิส วันนี้ได้ฤกษ์ดีที่จะมาเล่าประสปการณ์ให้ฟังครับ ผมเริ่มสะสมไม้เทนนิสมาตั้งแต่ปี 2004 ตอนที่ Federer เริ่มใช้ Wilson Pro Staff Tour 90 คว้าแชมป์ Australian Open จำได้ว่าซื้อ PS90 มาจาก Central ลาดพร้าวในราคา 6100 บาทโดยที่คิดแค่อยากรู้ว่า Federer จะรู้สึกยังไงเวลาตีไม้ตัวนี้ โดยส่วนตัวก็ชอบไม้ตัวนั้นครับเพราะชอบในรูปร่าง ความบาง และสีสันเหลืองดำดู classic ดี แถมตีแน่นดีด้วย เริ่มติดใจ แล้วจากนั้นก็ได้มีโอกาสเดินทางไปประชุมที่ Singapore ก็ไปเจอ Head LM Radical OS ซึ่ง Agassi ใช้อยู่ในร้าน Mustafa เฮ้ย Agassi เป็นแชมป์ Australia Open ปีก่อนนี่หว่า อยากลองอีกแล้ว หลังจากเดินเวียนเทียนรอบแผนกกีฬาสามรอบก็ได้ LM Radical มาครอบครอง ก็เอามาลองตีเล่น เออ...ตีง่ายดีแฮะ แค่สบัดข้อลูกก็ไปแล้ว ชักติดใจ อืมมมม มีไม้เล็กสุดแล้ว มีไม้ใหญ่สุดก็แล้ว ลองหาอะไรอีกสักอันซิ เอาแบบตรงกลางระหว่าง 90 กับ 107 ตารางนิ้่ว ก็มาเจอ Babolat Pure Drive Team Plus หน้า 100 ที่เพิ่ง import เข้ามาเป็น lot แรกพอดีที่ Emporium คนขายก็เชียร์ซะ ผมก็อดใจไม่ได้ ก็ถอยมาทันทีเพราะชอบที่ Engineered in France (เดามั่วว่าประเทศที่ดังเรื่องน้ำหอมจะทำไม้เทนนิสได้ดี) ถึงแม้ว่าจะ Copied in China ก็ตาม ครั้งแรกที่ได้ตีก็ชอบในความที่ตีง่าย ไม่ค่อยสะท้านแขน (ไม่มี feel) ผมก็คิดว่า 3 ไม้ก็พอแล้วล่ะ ...ซี่งผมคิดผิด

วันนึงในปี 2004 ที่ Roland Garros พบว่าเฮ้ย! Federer เปลี่ยนไม้อีกแล้ว คราวนี้เป็นสีขาวแดง เห็นแล้วชักอยากลอง เอ้า! ซื้อก็ซื้อ แต่ต้องขาย PS90 ก่อน ผมขาย PS90 ได้ 3000 บาท ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอมาเย็นวันนึงลองมาคิดตัวเลขเล่น ค่าเสื่อมของ PS90 = 6100-3000 = 3100 บาท ใน 7 เดือน หรือ 87% ต่อปี มาถึงตรงนี้เริมคิดแล้วว่า เฮ้ย มันต้องมีการบริหารจัดการเข้ามาช่วยแล้วล่ะ ไม่งั้นยิ่งเล่นยิ่งเจ๊ง ก็เลยลองศึกษาจากการเสื่อมราคาของอุปกรณ์เทนนิสจากราคาไม้ Dunlop ใน Tennis Warehouse :) ไม้ Dunlop ตอนออกมาใหม่จะราคา $180 แต่พอสองปีให้หลังจะเหลือ $60 หรือราคาเหลือแค่ 1 ใน 3 ด้วยราคาแค่นี้ผมคิดว่าคนคงใช้ไม้ Dunlop เยอะพอสมควร ก็เลยใช้ Dunlop เป็นเกณฑ์ซะเลย

สูตรค่าเสื่อมกลาง = (ราคาเริ่มต้น 100% - ราคาตลาดสองปีให้หลัง 30%) / 2 = 35% ต่อปี แต่มีข้อแม้ว่าราคาตลาดจะต้องไม่ต่ำว่า 30% ไม่ว่าไม้เทนนิสจะมีอายุเลยสองปีไปแล้วก็ตาม

Market Value = Buy Price - (Age x Depreciation Cost/year)
ราคาตลาด = ราคาซื้อ - (อายุไม้ x ค่าเสื่อมต่อปี)

Gain/Loss = Sell Price - Market Value
กำไร/ขาดทุน = ราคาขาย - ราคาตลาด, ถ้าตัวเลขเป็นบวกก็แสดงว่าไม่ขาดทุน (ไม่อยากเรียกว่ากำไร) แต่ถ้าเป็นลบก็ขาดทุน

แล้วผมก็ใช้สูตรนี้กับทุกๆไม้ที่ผมซื้อโดยผมจะบันทึก วันที่ซื้อ ราคาที่ซื้อ วันที่ขาย และราคาที่ขาย ก็จะได้ Excel worksheet ประมาณนี้ครับ จะสังเกตุได้ว่าส่วนใหญ่ขาดทุน ต้องทำใจครับ แต่พอมาวิเคราะห์ลึกจะเห็นว่าไม้บางประเภทจะให้ค่าเสื่อมจริงต่ำกว่าค่าเสื่อมกลาง 35% ลองดูในตารางด้านล่างทีละบรรทัดสิครับ




ถ้าดูในบรรทัดสุดท้าย ผมจะขาดทุนจากราคาตลาด (หลังจากหักค่าเสื่อม) อยู่ 3,634 บาท จากการซื้อขายไม้เทนนิสใน 6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าน้อยมาก แต่สิ่งที่ได้คือ 80 ประสปการณ์ที่เพิ่มรสชาดในการเล่นเทนนิส จริงอยู่ที่ไม้เทนนิสมันเป็นแค่อุปกรณ์ในการเล่นเทนนิส แต่หลายๆคนก็หลงใหลในอุปกรณ์เหล่านี้ ไม่มีคำตอบว่าถูกหรือผิดกับการที่จะชอบทำอะไรสักอย่างนึง ถ้าเราบริหารและจัดการเป็นการสะสมอุปกรณ์ก็ไม่ใช่เรื่องการผลาญเงินอย่างที่เข้าใจกันครับ

คำแนะนำเมื่อคิดจะสะสม: พอผมจับข้อมูลมาสรุปแบบ pivot table จะเห็นว่า
1. ไม้ classic ให้ค่าเสื่อมเฉลี่ยต่ำที่สุด 8% และก็เป็นเพียงไม้ประเภทหนึ่งในสองประเภทที่ให้ค่าเสื่อมจริงต่ำกว่า 35% กับอีกอันคือ Pro Stock ที่ค่าเสื่อมติดลบ คือยิ่งเวลาผ่านไป มูลค่ายิ่งสูงขึ้น ไม้ที่เหลือค่าเสื่อมสูงหลุดกระจาย
2. ไม้แบรนด์ดังๆที่คิดว่าซื้อง่าย-ขายคล่องก็ยังเจอค่าเสื่อมจริงที่สูงกว่า 35% อยู่ดี สามในห้ามีค่าเสื่อมเกิน 100%
3. โดยเฉลี่ยผมจะเก็บไม้ไว้ประมาณ 7 เดือนก่อนขายไป แต่ถ้าจะให้คุ้มจริงๆควรจะเก็บไม้เทนนิสไว้ใช้อย่างน้อยหนึ่งปีก่อนที่จะขายไป เพราะอย่าลืมว่าไม้ใหม่ราคา 6000 บาทพอเอามาปล่อย มูลค่าจะหายไปแล้ว 2000 บาทหรือประมาณ 30% อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นใช้ไปให้คุ้มใน 1 ปีเถอะครับ



และนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมเรียนรู้ตลอด 6-7 ปีที่ผ่านมา เห็นมั๊ยครับว่าเหลือแต่ Pro Stock และไม้ Classic เท่านั้น :)

Monday, November 8, 2010

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Tennis Elbow โดย ชัชวาลย์ จันทรวิจิตร

Rating:★★★★★
Category:Other
เทนนิสเอลโบ (Tennis Elbow)
ปัญหาที่ทุกคนที่สนใจกีฬาเทนนิสควรรู้
โดย: อ.ชัชวาลย์ จันทรวิจิตร

เทนนิสเอลโบ (Tennis elbow) หรืออาการเจ็บบริเวณข้อศอกด้านนอก เป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับการเล่นกีฬาเทนนิส คาดว่าประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่เล่นกีฬานี้เคยมีอาการเทนนิสเอลโบ อาการนี้อาจทำให้ผู้ที่สนใจกีฬานี้ขาดความสุขในการเล่นเทนนิส หรือบางรายอาจต้องเลิกเล่นเทนนิสไปเลย ผู้เขียนเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยมีปัญหานี้ จึงได้ขวนขวายหาความรู้และนำมาทดลองใช้กับตัวเองจนได้ผล จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า ข้อมูลเกี่ยวกับเทนนิสเอลโบในประเทศไทยยังมีน้อย ข้อมูลที่มีประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นของต่างประเทศ เขียนและเผยแพร่โดยใช้ภาษาอังกฤษ จึงเป็นการยากที่คนไทยทั่วไปจะเข้าถึงแหล่งข้อมูลเหล่านี้ได้ บทความนี้ผู้เขียนนำเสอนข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดเทนนิสเอลโบ การป้องกัน โดยการเลือกใช้ไม้เทนนิส และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆที่เหมาะสม ตลอดจนการแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ที่มีอาการเทนนิสเอลโบแล้ว บทความนี้จะช่วยให้ความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาเทนนิสเอลโบและแนวทางป้องกันแก่ผู้ที่สนใจกีฬาเทนนิสทุกคน

เทนนิสเอลโบเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เทนนิสเอลโบ เป็นชื่อเรียกอาการอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณข้อศอกด้านนอก มีชื่อทางการแพทย์ว่า Lateral epicondylitis ผู้ป่วยมักจะมีอาการเจ็บกล้ามเนื้อและเอ็น บริเวณข้อศอกด้านนอก (รูปที่ 1) บางครั้งอาการปวดอาจขยายไปถึงแขนและข้อมือด้วย อาการจะมีมากขึ้นขณะเคลื่อนไหวข้อมือหรือศอก และ การกำมือ เทนนิสเอลโบเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อแขนในบริเวณดังกล่าวมากเกินไป ซึ่งมีหลายกิจกรรมที่เป็นสาเหตุ ได้แก่ การหิ้วของที่หนัก การหิ้วของเป็นเวลานาน หรือกิจกรรมที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อแขน เช่น การตอก หรือการทุบด้วยฆ้อน การใช้มีดฟันฟืนหรือวัสดุที่แข็ง และการเล่นกีฬาเบสบอล เป็นต้น แต่ที่พบได้บ่อยคือการเล่นเทนนิสจึงได้ชื่อว่า เทนนิสเอลโบ


รูปที่ 1 เอ็นและกล้ามเนื้อแขนด้านนอก

วิธีแก้ปัญหาเทนนิสเอลโบ

1.ปรับปรุงเทคนิคการตีเทนนิสที่ถูกต้อง: สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเทนนิสเอลโบคือการตีเทนนิสที่ไม่ถูกวิธี ดังนั้นทางแก้ที่ดีที่สุดคือ การปรับปรุงเทคนิคการตีเทนนิสให้ถูกต้อง เทคนิคการตีเทนนิสที่เป็นปัญหาคือการตีโดยใช้แรงจากกล้ามเนื้อแขนส่วนปลายมากเกินไป เช่น การตีแบคแฮนด์สไลด์ หรือการตีวอลเลย์ในท่าทางที่แขนงอ การตีโฟแฮนด์ด้วยการท่าทางงอแขน การพยายามสร้างพลังในการตีด้วยการเหยียดข้อมือไปข้างหลังให้มากๆ การตีท็อบสปรินด้วยการตวัดข้อมือ หรือการเสิร์ฟลูกให้แรงด้วยการตวัดข้อมือ โดยทั่วไปการตีแบคแฮนด์จะทำให้เกิดปัญหาเอลโบได้มากกว่าโฟแฮนด์ วิธีการตีเทนนิสที่ถูกต้องคือ ต้องตีในลักษณะที่แขนเหยียดตึง และข้อศอกล็อคอยู่กับที่ ใช้แรงจากหัวไหล่ซึ่งมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงกว่าที่แขน สร้างแรงในการตีด้วยการก้าวเข้าหาลูกบอล และตีลูกหน้าตัว ตีท็อบสปรินด้วยการตีจากล่างขึ้นบนแทนการตวัดข้อมือ เป็นต้น สำหรับรายละเอียดเทคนิคการเล่นเทนนิสที่ถูกวิธีอยู่นอกเหนือขอบเขตของบทความนี้ ผู้ที่สนใจกีฬาเทนนิสสามารถศึกษาเทคนิคการเล่นที่ถูกต้องจากหนังสือ ซีดี และ ผู้ฝึกสอนที่มีประสบการณ์และผ่านการอบรมการเป็นผู้สอนเทนนิส ไม่ควรหัดเล่นในลักษณะลองผิดลองถูกด้วยตนเอง เพราะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้

2. ใช้ไม้และอุปกรณ์เทนนิสที่เหมาะสม: การเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมมีส่วนสำคัญไม่น้อยต่อการป้องกันการเกิดเทนนิสเอลโบ อุปกรณ์กีฬาเทนนิสที่สำคัญ คือ ไม้เทนนิส เอ็น และ ลูกเทนนิส

ไม้เทนนิส
ในปัจจุบันมีไม้เทนนิสมากมายหลายรุ่นหลายยีห้อให้เลือกใช้ โดยมีความแตกต่างที่ชัดเจนอยู่ที่ น้ำหนักไม้ และขนาดหน้าไม้ นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในรายละเอียดอีกหลายด้าน เช่น ความแข็งกระด้างของไม้ (stiffness) บาลานซ์ของไม้ (balance) ซึ่งแบ่งไม้เทนนิสออกเป็นสองประเภทคือไม้เทนนิสที่มีหัวไม้หนักและหัวไม้เบา จำนวนเส้นเอนในแนวแกนตั้งและแกนนอน (string pattern) เป็นต้น จากการศึกษาของ Wilmot McCutchen พบว่ามีหลายปัจจัยที่อาจมีผลต่อความนุ่มนวล (comfortable)ของไม้เทนนิส ซึ่งบ่งบอกถึงโอกาสในการทำให้เกิดปัญหาเทนนิสเอลโบ และจากการคำนวณค่าความนุ่มนวลของไม้โดยใช้คุณสมบัติทางฟิสิกส์ของไม้ที่สามารถวัดและคำนวณออกมาเป็นตัวเลข เขาพบว่า ไม้ที่เสี่ยงต่อการเกิดเทนนิสเอลโบ คือไม้ที่มีน้ำหนักเบา และหัวไม้หนัก ไม้เทนนิสที่อาจช่วยป้องกันเทนนิสเอลโบ คือ ไม้เทนนิสที่มีหัวไม้เบา และมีความแข็งกระด้างต่ำ ผู้ที่สนใจสามารถหารข้อมูลความนุ่มนวลของไม้แต่ละรุ่น และรายละเอียดหลักการและวิธีคำนวณค่าความนุ่มนวลดังกล่าวได้จากเวปไซต์ของ RACQUET RESEARCH - Home Page: http://www.racquetresearch.com หรือถ้าต้องการเฉพาะข้อมูลค่าความนุ่มนวลสามารถดูได้จากเวปไซต์ Greg’s racquet service: http://www.hdtennis.com/grs/racquetresearch.html

ความแข็งกระด้าง (Stiffness) ของไม้เทนนิส หรือความอ่อนตัวของไม้เวลากระทบลูก ไม้ที่มีความแข็งกระด้างสูงจะส่งผ่านพลังงานจากแรงสั่นสะเทือนมาถึงแขนมากกว่า จึงอาจทำให้เกิดเทนนิสเอลโบ ไม้เทนนิสที่ดีต่อแขนควรเป็นไม้ที่มีค่าความกระด้างต่ำ ไม้เทนนิสในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีความกระด้างมากขึ้นเพราะต้องการให้ได้พาวเวอร์มากขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีเทคโนโลยีเพื่อช่วยช่วยลดแรงสั่นสะเทือนและป้องกันการบาดเจ็บของแขน ซึ่งอาจทำได้โดยการใช้เทคโนโลยีลดแรงสั่นเทือนที่ตัวกรอบไม้ และการใช้เทคโนโลยีป้องกันการส่งผ่านพลังงานจากด้ามไม้ไปยังแขนผู้เล่น

ขนาดและน้ำหนักของไม้เทนนิส โดยทั่วไปแล้ว ไม้เทนนิสที่มีน้ำหนักมากจะมีแรงปะทะที่ดี ทำให้สั่นสะเทือนขณะกระทบลูกบอลน้อยกว่าไม้ที่มีน้ำหนักเบา จึงช่วยลดปัญหาเทนนิสเอลโบได้ ในการเลือกไม้เทนนิสจึงควรเลือกไม้ที่มีน้ำหนักมากที่สุดเท่าที่จะตีได้ถนัด ส่วนขนาดของหน้าไม้จะมีผลต่อพื้นที่ที่ลูกเทนนิสจะกระทบ ไม้หน้าใหญ่จะมีพื้นที่กระทบลูกบอลมาก จึงช่วยลดโอกาสตีโดนขอบไม้ลง และไม้หน้าใหญ่จะมีผลต่อความยืดหยุ่นของเอ็นด้วย ถ้าขึ้นที่ความตึงเท่ากัน เอ็นที่อยู่ในไม้หน้าใหญ่จะมีความหยืดหยุ่นมากกว่า

ขนาดกริป หรือขนาดของด้ามไม้เทนนิส เป็นปัจจัยที่คนทั่วไปมักมองข้าม ขนาดของกริป จะมีผลต่อความมั่นคงในการถือไม้เทนนิส ถ้าด้ามจับมีขนาดเล็กเกินไปจะทำให้ผู้เล่นต้องใช้แรงบีบมากขึ้น หรือจับไม้ไม่แน่น จึงอาจทำให้ปัญหาได้มากกว่า ดังนั้นจึงควรเลือกกริปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่จะถือได้สะดวก

เอ็น (String)
เอ็นสำหรับขึงไม้เทนนิสเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการเกิดแรงสั่นสะเทือนและเทนนิสเอลโบ เอ็นที่ดีควรมีความยืดหยุ่นสูง มีหลายปัจจัยที่มีผลต่อความยืดหยุ่นของเอ็น ที่สำคัญ คือ วัสดุที่ใช้ผลิตเอ็น วัสดุที่ใช้ผลิตเอ็นจะมีผลต่อคุณสมบัติในหลายด้านของเอ็น ทั้งความยืดหยุ่น ความแข็งแรงทนทาน การคงตัวของความตึง การให้พลังในการตี และราคา เป็นต้น เอ็นที่การใช้แพร่หลายในปัจจุบันอาจแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ Natural Gut, Synthetic Gut, Multifilament, Poly และ Kevlar

  • เอ็น Natural gut ซึ่งทำมาจากไส้ของสัตว์จะมีความยืดหยุ่นสูง ให้ความรู้สึกนุ่มในการตีแม้ขึ้นด้วยความตึงสูง มีการคงตัวสูง และให้พลังในการตีดี ข้อจำกัดที่สำคัญของเอ็นประเภทนี้ คือ มีราคาแพง และมีความทนทานต่ำ

  • เอ็น synthetic gut ทำมาจากวัสดุสังเคราะห์ประเภทไนลอน (nylon) มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าเอ็นประเภทแรก แต่มีความทนทานสูงกว่า จุดเด่นของเอ็นประเภทนี้อยู่ที่มีราคาถูกที่สุดในบรรดาเอ็นเทนนิสที่มีขายในปัจจุบัน

  • เอ็น multifilament หรือนิยมเรียกสั้นว่า multi เป็นเอ็นที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับเอ็น natural gut มากที่สุด มีความยืดหยุ่นดีกว่าเอ็นประเภท synthetic gut เนื่องจาก มีส่วนประกอบของไนลอนเส้นเล็กหลายๆเส้นรวมกัน และยังคงความแข็งแรงทนทาน แต่มักมีราคาสูงกว่าเอ็น synthetic gut

  • เอ็น polyester หรือนิยมเรียกสั้นว่า poly เป็นเอ็นที่เน้นความแข็งแรงทนทาน ทำจากวัสดุสังเคราะห์ เหมาะกับการตีในระดับมืออาชีพ หรือคนที่ตีเอ็นขาดบ่อย คนที่ชอบตีในลักษณะท็อปสปริน แต่เอ็นจะมีความกระด้างสูง สูญเสียความตึงได้ง่าย

  • เอ็นประเภทสุดท้าย คือ เอ็น Kevlar เป็นเอ็นที่มีความกระด้างมากที่สุด หรือมีความยืดหยุ่นน้อยที่สุด มีความคงตัวสำหรับความตึงต่ำสุด เหมาะสำหรับการใช้งานที่เน้นความทนทาน


  • ขนาดของเส้นเอ็น หรือความหนา (Gauge) ของเอ็นก็มีผลต่อความยืดหยุ่นของเอ็น โดยทั่วไปแล้วเอ็นเส้นเล็กจะมีความยืดหยุ่นมากกว่าเอ็นเส้นใหญ่ แต่จะขาดง่ายกว่า และสูญเสียความตึงได้รวดเร็วกว่า

    ความตึงของการขึ้นเอ็น เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อความยืดหยุ่นของเอ็น โดยทั่วไปแล้วเอ็นที่ขึ้นด้วยความตึงมากจะมีความยืดหยุ่นน้อย ทั้งนี้แล้วแต่ชนิดของเอ็นด้วย สำหรับคนที่มีปัญหาเทนนิสเอลโบควรเลือกใช้ความตึงที่ต่ำไว้ก่อน นอกจากนี้การใช้เอ็นที่หมดสภาพก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเทนนิสเอลโบได้ เพราะเอ็นที่เก่าหมดสภาพจะสูญเสียความยืดหยุ่น โดยทั่วไปแล้วควรเปลี่ยนเอ็นหลังจากการใช้งาน 40 ชั่วโมง หรือดูจากสถิติการใช้งานต่อสัปดาห์ โดยมีหลักคิดง่ายๆคือให้เปลี่ยนเอ็นในแต่ละปีบ่อยเท่ากับจำนวนครั้งที่เล่นต่อสัปดาห์ เช่น ถ้าเล่นเทนนิสสามครั้งต่อสัปดาห์ก็ควรเปลี่ยนเอ็นสามครั้งต่อปี

    สำหรับผู้ที่มีปัญหาเทนนิสเอลโบ ควรเลือกเอ็นที่มีความยืดหยุ่นสูง จากข้อมูลการทดสอบความยืดหยุ่นของเอ็นที่เผยแพร่โดย Racquet sports industry magazine พบว่าเอ็นที่มีความยืดหยุ่นสูงที่สุดคือเอ็นในกลุ่ม Natural gut รองลงมาเป็นเอ็นกลุ่ม multifilament synthetic gut poly และ Kevlar ตามลำดับ รายละเอียดข้อมูลความยืดหยุ่นของเอ็นแต่ละรุ่นแต่ละประเภทสามารถหาได้จากเวปไซต์ http://www.racquetsportsindustry.com/issues/200809/200809allstrings.html และเวปไซต์ https://www.tennismenace.com/tenniselbow.htm

    ลูกเทนนิส
    น้ำหนักของลูกเทนนิสจะมีผลต่อแรงประทะที่กระทำต่อไม้ และพลังงานที่จะมาถึงแขนที่เป็นสาเหตุของเทนนิสเอลโบ ลูกเทนนิสแต่ละรุ่นและยี่ห้ออาจสร้างแรงปะทะได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้ผลิต โดยทั่วไปลูกบอลที่หนักมากจะทำให้เกิดแรงปะทะและส่งพลังงานมาถึงแขนได้มากกว่าบอลที่มีน้ำหนักเบา ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ลูกบอลที่มีน้ำหนักเบา นอกจากนี้ไม่ควรใช้บอลที่หมดสภาพเพราะจะไม่มีความยืดหยุ่น

    3. การรักษาอาการเทนนิสเอลโบ

    ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่สามารถรักษาอาการเทนนิสเอลโบได้ การรักษาอาการเทนนิสเอลโบควรใช้หลายวิธีร่วมกัน ทั้งการประคบหรือการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด การนวดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดมาเลี้ยงเอ็นและกล้ามเนื้อ และการบริหารเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ ในกรณีที่จำเป็นต้องเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการเทนนิสเอลโบควรสวมที่รัดแขนป้องกันเทนนิสเอลโบเพื่อช่วยพยุงกล้ามเนื้อและลดแรงสั่นสะเทือนบริเวณข้อศอก

    3. 1 การนวดและการบริหารร่างกาย

    การนวด: การนวดเป็นทั้งวิธีป้องกันและรักษาอาการเทนนิสเอลโบ ผู้ที่สนใจสามารถทำได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องไปพึ่งนักกายภาพหรือผู้เชียวชาญแต่อย่างใด การนวดอย่างง่ายๆที่เรียกว่า Cross fiber friction massage จะช่วยกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและเอ็นที่ได้รับความเสียหาย ทำให้กระบวนการรักษาตัวเองของร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น วิธีการประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ (ผู้ที่สนใจสามารถดูวิดีโอสาธิตการนวดดังกล่าวได้จากเวปไซต์ http://www.youtube.com/watch?v=hclFBUiRtbk&feature=player_embedded#!)

  • ขั้นตอนที่ 1 ห้ามใช้น้ำมันหรือโลชั่นทาก่อนการนวด

  • ขั้นตอนที่ 2 เริ่มจากแขนด้านนอกที่บริเวณห่างจากข้อศอกประมาณสามนิ้ว ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางนวดไปแนวขวางของแขน ขยับไปทั่วบริเวณที่เจ็บ เริ่มจากกล้ามเนื้อชั้นนอก และขยับไปถึงกล้ามเนื้อชั้นในมากขึ้น

  • ขั้นตอนที่ 3 ใช้แรงกดในระดับ 6 ถ้าให้ระดับสูงสุดที่จะทนได้เท่ากับระดับ 10 และเพิ่มความแรงมากขึ้นเมื่ออาการเจ็บทุเลาลง

  • ขั้นตอนที่ 4 ทำซ้ำประมาณ 10-20 นาที

  • ขั้นตอนที่ 5 ทำสม่ำเสมอทุกวัน


  • การบริหารและยืดกล้ามเนื้อ
    การบริหารและยืดกล้ามเนื้อจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อแขนและป้องกันอาการเทนนิสเอลโบ กล้ามเนื้อที่ควรบริหารคือกล้ามเนื้อบริเวณแขนส่วนปลายตั้งแต่ข้อศอกลงไปจนถึงข้อมือ กล้ามเนื้อส่วนนี้จะมีทั้งกล้ามเนื้อชั้นในและกล้ามเนื้อชั้นนอก ควรบริหารให้ครบทั้งสองด้าน รูปข้างล่างแสดงท่าการบริหารกล้ามเนื้อดังกล่าว ควรบริหารให้ครบทุกท่า ทำท่าละ 6-10 ครั้ง


    ที่มา: http://www.physicalagency.com/main/index.php/2009-08-01-11-05-26/80--tennis-elbow

    3.2 การใช้ยา
    ยาที่นิยมใช้มีทั้งประเภทยาทาและยากิน ยาที่ใช้เป็นยากลุ่มลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ อาจเสริมด้วยยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาแก้ปวด ในกรณีที่กินยา ไม่ควรกินยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะยาจะมีผลข้างเคียง และทำให้เกิดกรดในกระเพาะ จึงไม่ควรกินยาในขณะท้องว่าง
    การฉีดยา ในกรณีที่จำเป็น หรือการรักษาด้วยวิธีอื่นๆแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือคนป่วยมีอาการปวดมาก แพทย์อาจใช้การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าตรงบริเวณข้อศอกตำแหน่งที่เจ็บ ซึ่งผู้ป่วยส่วนมากอาการจะดีขึ้น ข้อเสียคือ ยาที่ใช้เป็นสารสเตียรอยด์ซึ่งจะผลข้างเคียง และไม่สามารถใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ โดยทั่วไปไม่ควรฉีดยาเกิน 3 ครั้ง
    การผ่าตัด วิธีนี้มักเป็นทางเลือกสุดท้ายในการรักษา แพทย์จะพิจารณาใช้การผ่าตัดในกรณีที่ใช้การรักษาด้วยวิธีอื่นๆมาแล้วเป็นเวลานานแต่คนป่วยอาการไม่ดีขึ้น

    บรรณานุกรม
    Greg’s racquet service: http://www.hdtennis.com/grs/racquetresearch.html
    http://www.physicalagency.com/main/index.php/2009-08-01-11-05-26/80--tennis-elbow
    http://www.racquetsportsindustry.com/issues/200809/200809allstrings.html
    http://www.tennis-warehouse.com/LC/SelectingRacquet.html
    https://www.tennismenace.com/tenniselbow.htm
    Nelson L J. Correct Tennis Elbow with Stroke Changes. http://www.dynamicchiropractic.ca/mpacms/dc/article.php?t=26&id=43629
    RACQUET RESEARCH - Home Page: http://www.racquetresearch.com/
    Salt Lake City Stringer. String 101. http://www.slcstringer.com/aboutstrings.html
    Strings tennis. http://en.wikipedia.org/wiki/Strings_%28tennis%29#Natural_Gut

    เผยแพร่ที่: http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=thaitennis&topic=13075&page=1

    Sunday, October 17, 2010

    แนะนำสนามเทนนิส 700 ปี และสถานที่ท่องเที่ยวบรรยากาศดีๆที่เชียงใหม่

    Rating:★★★★
    Category:Other
    ใหนๆก็ใกล้หน้าหนาวแล้ว ผมมีสถานที่พักผ่อน เล่นเทนนิส และท่องเที่ยวในเชียงใหม่มาฝากกันครับ เอาเป็นว่าแค่วันหรือสองวันก็พอ :) พอดีว่าเมื่อวานแวะไปทำธุระที่เชียงใหม่มาที่สนาม 700 ปีมา ถึงแม้ว่าจะแค่วันเดียวแต่บอกได้เลยครับ ว่าที่เชียงใหม่ตอนนี้บรรยากาศที่นี่ดีมากๆ คนท้องถิ่นที่นั่นบอกว่าพฤจิกายน-ธันวาคม อากาศจะเย็นตลอดวัน ตีเทนนิสได้ทั้งวันแม้จะมีแดด ที่สำคัญอากาศบริสุทธิ์มากๆ เงียบ วิวดีมีภูเขาอยู่ด้านหลัง ภายในมีโรงแรมระดับ 3 ดาว ค่าโรงแรมคืนละประมาณ 600 บาท







    ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวผมแนะนำ วัดเด่นสหลีศรีเมืองแกน (ลอง search หาในแผนที่กันเองครับ) ซึ่งเป็นวัดใหม่ที่มีจุดเด่นคือ สถาปัตยกรรมแบบล้านนา มีบางจุดที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างซึ่งถ้าใครชอบศึกษาเกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรมก็คงจะชอบมาก นอกจากนี้ภายในวัดก็มีการจำลองพระพุทธรูปที่ๆสำคัญจากที่ต่างๆมาไว้ที่เดียวกัน ไปที่เดียวได้นมัสการครบเลย












    เดือนหน้าคนเยอะมาก ใครสนใจรีบจองที่พักกันได้เลยครับ

    Monday, October 11, 2010

    Polyfibre String - Black Venom, Hexablade, TCS, Cobra, Viper

    Rating:★★★★
    Category:Other
    ช่วงเดือนที่ผ่านมาได้มีโอกาสลองเอ็นใหม่ๆเยอะซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นเอ็นสำหรับคนที่ชอบตีแนว spin วึ่งนั่ก็รวมไปถึง เอ็นของ Polyfibre ซึ่งถือว่าเป็น brand ใหม่ที่กำลังมาแรงมากในอเมริกา เอ็นทั้งซีรี่ย์ใช้สัตว์มีพิษทั้งหลายเป็นตัวแทนในการบอกสรรพคุณ ลองดูภาพด้านล่างก็ละกัน


    ในบรรดาเอ็น poly โดยรวมผมว่า คนจะงงๆ กับตัวเลือกที่มากมายและเอ็นแต่ละตัวๆก็คล้ายๆกัน สุดท้ายก็มาเลือกที่สีซะงั้น แต่ที่ผมมองว่า"ชัดเจนจริงๆ" ก็มี 2 แบรนด์ที่น่าสนใจครับ หลังจากที่ได้แจกตัวอย่างไปให้พี่ๆน้องๆได้ลองกัน ซึ่งได้แก่

    Solinco: ชัดเจนมากครับ feel & spin potential ของเอ็นไม่ว่าจะเป็น Tour Bite หรือ Barb Wire เหมาะกับผู้เล่นระดับแข่งขันแน่นอน ถ้าชอบหวดหนักๆแล้วก็เน้น spin จัดๆ Solinco เป็นตัวเลือกที่ดีครับ ในอเมริกา Solinco Tour Bite ถูกจัดอันดับโดย Racquet Sport Industry (RSI) ให้เป็นที่หนึ่งในเรื่อง Spin Generation

    Weisscannon: เหมาะสำหรับผู้เล่นทั่วไป เพราะเป็นเอ็นเส้นเล็ก มีความนุ่มและ power อันเป็นเอกลัษณ์ โดยเฉพาะ Mosquito Bite ซึ่งก็มีหลายสีให้เลือก ถ้าใครอยู่ในแวดวงเอ็นมาพอสมควรจะรู้ว่า สีมีผลต่อประสิทธิภาพของเอ็น (เอ็นดีๆเลยมีแค่ไม่กี่สี) แต่เท่าที่ลองมา Weisscannon ใช้ pigment ที่มีคุณภาพสูงทำให้ประสิทธิภาพของเอ็นคงเส้นคงวาในทุกสี ตรงนี้เป็นจุดเด่นของ Weisscannon เลยก็ว่าได้ และที่สำคัญ ราคาไม่แรงเกิน :)

    แล้วถ้าถามว่าเอ็น Polyfibre จะเหมาะกับใคร ...น่าคิดครับ เท่าที่ได้ลองๆมาผมพบว่า เอ็นของ Polyfibre น่าจะเหมาะกับผู้ที่เพิ่งจะย้ายจาก gut หรือ multifilament มาสู่ poly เพื่อความทนทาน ผมจะเรียงลำดับจากความเป็น poly น้อย (multi มาก) ไป poly มาก (multi น้อย)ละกัน

    Polyfibre Black Venom บน Head PT57A: "กัดเบาแต่จมเขี้ยว" เอ็นยืดตัวดี อุ้มลูกนาน ตีสบายแขนดีมาก พาวเวอร์ดี แต่ไม่ค่อยมีฟีลมากเหมือนกับเอ็น gut หรือ multifilament ส่วนเรื่อง spin ผมว่างั้นๆนะ ผมชอบ feel จากการตีแฟลตมากกว่า ถ้าใครเคยได้ลองเอ็น Boris Becker Bomber มาก่อนก็น่าจะชอบเอ็นตัวนี้ครับ Black Venom เหมาะกับการตีแฟลตเป็นอย่างยิ่งครับ ยิ่งถ้าใครชอบความนุ่มของเอ็น multifilament หรือ natural gut แล้วต้องการความทนทานมากขึ้นผมแนะนำให้เริ่มที่ตัวนี้ครับ




    Polyfibre Cobra บน Head PT10: "กัดแรง" feel คล้ายๆกับ Black Venom แต่ไม่นุ่มเท่า power ดีมาก เวลาอัดหนักๆได้ยินเสียงแป๊งๆของเอ็น poly อยู่ แต่ไม่มากเวลาใส่ dampener เสียงก็หายครับ (จริงๆแนะนำให้ติด dampener เลยแหละ) ผิวเอ็นเป็นลายงู กัดบอลดีรู้สึกได้ ปั่น spin ได้ง่ายถึงแม้ว่าจะขึ้นบนไม้หน้าเล็กและเอ็นถี่ แต่ spin ก็ไม่ได้โดดเด่นเมื่อเทียบกับการการอัด flat แรงๆซึ่งจะให้ feel แน่นและมันส์มากๆ มันก็แปลกนะที่ feel แบบนี้ถึงแม้ว่ามันจะไม่ดิบเหมือนพวก multi ที่ผมเคยลองๆมา แต่มันก็กระตุ้นให้อัดหนักๆได้ตลอดการ rally ครับ ตรงนี้แหละที่ผมมองว่ามันเหมาะกับคนที่กำลังจะย้ายจาก multi มา poly เพราะ feel มันอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างเอ็นทั้งสองประเภท โดยรวม work มากโดยเฉพาะกับไม้หน้าเล็ก ผมชอบตัวนี้ครับ




    Polyfibre TCS บน Wilson H22: สีสวยแสบตา ขึ้นกับไม้สีดำหรือเหลืองจะดูดีมาก feel เหมือน poly ทั่วไป ออกแข็งนิดๆ power ดีกว่าตอนที่ขึ้นเอ็นมัลติของ Volkl Powerfiber II ลองดูใน BLOG ของ TW ประกอบด้วยนะครับ http://blog.tenniswarehouse.com/?p=692 ในยุโรปมีคนนิยมนำ TCS มา hybrid กับ Black Venom (สีมันคงดูแปลกๆนะ เหลือง-ดำ)




    Polyfibre Hexablade บน Dunlop AG200 Berdych: "กัดฉีก" เอ็นยืดตัวดี แต่เมื่อยืดสุดจะกระด้าง (ผิดกับ Black Venom ที่นุ่มจนลึกสุด) power ดีมาก หน้าตัดเอ็นเป็นรูปหกเหลี่ยม สปินดีเยี่ยมเหมือนที่คิดไว้ ปั่นบอลง่ายโดยไม่ต้องออกแรงเยอะ เหมาะกับคนที่ไม่แข็งแรงเรื่อง spin แต่อยากได้ spin โดยไม่ต้องออกแรงปั่นบอลมาก แต่ถ้าสปินกันเป็นอาชีพอยู่แล้ว ไป Solinco Tour Bite เลยครับ ที่ผมบอกแบบนี้เพราะ Tour Bite มี power ไม่สูงมากเท่า Hexablade มันเลยต้องอาศัยแรงส่งจากลูกที่วิ่งมาหาตัวเรา ในขณะที่ Hexablade มันปั่นลูกที่ตีมาเบาๆโรยๆได้ดีโดยไม่ต้องออกแรงมากมายนัก ถ้าใครคิดจะลองเอ็นตัวนี้ผมว่าขึ้นไว้ต่ำๆประมาณอย่าให้เกิน 55 lbs เป็นดีครับ จริงๆผมยังรู้สึกว่ามันน่าจะ hybrid กับเอ็นอ่อนๆอีกสักตัวด้วยซ้ำไป เพราะเอ็นมันออกจะแข็งๆ




    Polyfibre Viper บน Technifibre TF320 Verdasco: ผมว่าเฉยๆนะ ไม่มีอะไรโดดเด่นมาก แต่เดี๋ยวจะลอง hybrid ดูครับ เพราะเอ็นที่ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรมักจะ hybrid ได้ดี


    Saturday, September 4, 2010

    Solinco Tour Bite, Barb Wire, Tour 10, and Tour 8

    Rating:★★★★
    Category:Other
    แวะมาอัพเดทครับ สำหรับใครที่เข้า TW มาเมื่อเร็วๆนี้จะเริ่มได้ยินชื่อ Solinco มาบ้าง โดยเฉพาะเกี่ยวกับกิติศัพท์เอ็นสปินจัดอย่าง Solinco Tour Bite กับ Solinco Barb Wire ตอนนี้มีอุปกรณ์ของ Solinco เข้ามาเมืองไทยแล้ว และตอนนี้ผมกำลังทดสอบไม้กับเอ็นอยู่ แต่ดูเหมือนมีหลายๆคนสนใจมาก ก็เลยต้องเอา sneak preview มาให้ดูกันก่อนครับ

    ตัวแรกเป็นเอ็น Solinco Tour Bite ครับ ผมลองแล้ว feel คล้าย ALU Rough มาก เนื้อเอ็นคมกว่า แต่ให้ feel ที่นุ่มกว่า Alu ขนาดว่าขึ้นเต็มหน้า เหมาะมากสำหรับคนตีแรงๆ เวลาอัดแรงๆให้ feel ที่แน่นและที่สำคัญไม่เสียคอนโทรลคล้ายๆกับ Alu Rough เอ็นตัวนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่หนึ่งในเรื่อง Spin จาก Racquet Sport Industry ลองอ่านดูข้อมูลจาก http://www.solincosports.com ...ก็ว่ากันไป ถ้าสนใจยังไงก็ไปลองกันได้ครับ แต่ตัวนี้ผมว่าเวิร์ค


    ตัวที่สองเป็น Solinco Barb Wire (เอ็นลวดหนาม) สีดำเงา สวยมาก เอ็นตัวนี้เป็นหน้าตัดเป็นเหลี่ยมและบิดเกลียวเข้าไปอีก เอ็นค่อนข้างแข็งเนื่องจากยืดตัวน้อย แต่ให้สปินจัด ถ้าจะเทียบผมว่าใกล้เคียงกับพวก Volkl Cyclone ที่พวกเด็กแข่งกำลังนิยมใช้กันอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเทียบกับ Babolat RPM แล้วจะเป็นยังไง แต่สำหรับผมชอบตี flat เลยติดใจ Tour Bite มากกว่าครับ


    ตัวที่สามเป็นไม้ Solinco Pro 10 ดู spec ได้ที่ http://www.solincosports.com/rackets/racket.php รูปร่างใช้พิมพ์นิยมของ Head Prestige MP ในขณะที่ feel จะอยู่ระหว่าง Head Prestige กับ Head Radical คือจะว่า Baseline ก็ไม่ใช่ All Court ก็ไม่เชิง อยู่ตรงกลางๆ ตัวนี้น้ำหนัก 325g แต่รู้สึกเหมือน 300g คือซวิงง่าย Power กำลังดี เรื่อง feel ไม่โดดเด่นมากถ้าตีไม่แรง แต่ถ้าหวดหนักๆจะรู้สึกว่ามันให้ feel ที่ solid มากๆ หน้าไม้ stable สุด เพราะฉะนั้นสรุปได้เลยว่าไม้ตัวนี้เหมาะกับพวกที่ชอบหวดหนักๆ ถ้าขึ้น Tour Bite ด้วยจะเข้ากันมากๆครับ



    ตัวสุดท้ายของวันนี้เป็น Solinco Pro 8 ครับ น้ำหนักแค่ 300g บอกได้เลยว่าตัวนี้ประกบกับ Head MicroGel Radical MP (ไม่ใช้ YouTek นะ) ความคล่องตัวคล้ายๆกัน feel คล้ายๆกัน แต่สีสันดุดันกว่าเยอะ และที่จุดเด่นที่สำคัญคือ stable กว่า ผมขึ้นเอ็น Barb Wire กับไม้ตัวนี้ปรากฎว่าตีไม่ไหวครับ Power น้อยเกิน ถ้าจะให้มันส์จริงๆคงต้องสปิน แต่อย่างที่บอกผมชอบตี flat มากกว่า เลยชอบชุด Pro 10 + Tour Bite มากกว่า แต่ถ้าใครที่ตี Head Radical, Dunlop AG300, หรือ Wilson KBlade 98 มาก่อนอยากแนะนำให้ไปลองตัวนี้ดูครับ



    นอกจากนี้ก็มี Tour 7 ด้วย น้ำหนัก 285g แต่ผมไม่ได้ร่วมทดสอบ วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ ใครสนใจไปดูของได้ที่ Sport Nova บางกรวยครับ โทร 081.836.7042