Pages

Friday, May 22, 2009

Volkl Powerbridge 10 Mid

Rating:★★★★★
Category:Other
วันนี้ทาง Sport Nova โทรมาบอกว่ามีไม้เข้ามาใหม่ 4 ตัว ในนั้นมี 2 ตัวที่น่าสนใจมากคือ Volkl PowerBridge 10 Mid และ Boris Becker Delta Core Legend โดยเฉพาะตัวหลังนี่ได้ข่าวว่าเป็นไม้ generation ใหม่ของ Puma Boris Becker Super ที่โด่งดังในอดีต ทางคุณเกียรติเจ้าของร้านใจดีมาก พอของมาปุ๊บขึ้นเอ็นใหม่ให้ลองกันเลย ต้องขอบคุณมากๆครับ ใครสนใจไปดูตัวจริงได้ที่ Sport Nova บางกรวยครับ

มาดู spec คร่าวๆของ Volkl PowerBridge 10 MID

- 93 sq.in
- 330g unstrung
- 19mm beam width
- 16x19 string pattern

Day 1: วันนี้ฝนไม่ตก เลยเอาไปลองน๊อคดูปรากฎว่า SURPRISE!!!! เป็น Volkl ไม้แรกที่ผมว่าออกแบบมาได้ลงตัวที่สุด ไม้ที่ผมใช้ขึ้นเอ็น hybrid ของ Boris Becker ไว้ รู้สึกจะเป็นรุ่น Extreme (poly) กับ Sensor (multi) ที่ 53 lbs

วันนี้ตีไปเกือบ 2 ชั่วโมงพบว่าจุดเด่นของ PB10 Mid คือ
1. ซวิงง่ายเป็นธรรมชาติมาก Volkl ตัวอื่นๆที่ว่าซวิงง่ายแล้ว PB10 Mid นี่ง่ายกว่าอีก
2. Feel ตอนลูกกระทบเอ็น หนักแน่นมากๆ แน่นกว่า Volkl ทุกตัวที่ลองมา หน้าไม้นิ่ง stable กว่าหน้า 98 และ BB 11 Mid เยอะ อาจเป็นเพราะ swingweight ของไม้มันแมทช์กับ timing ของผมแล้วก็การออกแบบที่เสริมน้ำหนักตรงบริเวณ 3 และ 9 นาฬิกาที่ช่วยถ่วงให้หน้าไม้นิ่งขึ้น
3. Power เยอะกว่าที่คิดไว้ครับ ไม่ต้องโหมเหวี่ยงกันทั้งแขน ถ้าเล่นแบบเน้นข้อมือจะเวิร์คมากๆ ลูกพุ่งดีดตัวดี

ปกติแล้วผมจะไม่ค่อยชอบไม้ของ Volkl เท่าไหร่ แต่ตัวนี้อย่างที่บอกครับว่าชอบมาก หลังจากตีเสร็จก็ว่าจะเอาไปคืนที่ร้าน แต่นึกไปนึกมาก็เสียดายที่จะปล่อยไม้ดีๆไป เลยตัดสินใจซื้อเก็บไว้เองเลย (สงสัยเร็วๆนี้อาจต้องมีปล่อยของเก่าออกกันบ้าง) ใครอยากได้ รีบๆหน่อยละกัน ราคาไม่แรงอย่างที่คิด







Day 2:
Groundstroke: หัวไม้ที่เร็วกว่าทำให้หลายๆ shot มันง่ายขึ้นเยอะ ไม่ต้องโถมกันทั้งตัว การตีแบบเน้นข้อมือจะเหมาะกับไม้ตัวนี้มาก
Stability: หน้าไม้นิ่งพอๆกันเพราะปริมาณเนื้อ graphite ที่พอกตรง 3 และ 9 นาฬิกา ช่วยไว้ได้เยอะ แล้ว Volkl ก็พอกได้เนียนกว่าพวก PWS ของ Wilson เยอะเลย ดูรูปด้านล่างละกัน
Power: PB10 Mid ให้ power ที่มากกว่า แต่ power ที่ได้จะมาจากการเร่งสปีดหัวไม้เป็นหลัก ไม่เหมือนกับ Tour 10 ที่ power มาจากโมเมนตัมของน้ำหนักไม้
Spin: ง่ายเพราะหัวเบา ผมลองตีเปรียบเทียบกับ PS85 ปรากฎว่า PB10 Mid ปั่นลูกที่กระดอนต่ำได้ดีพอๆกับ PS85 เลยทีเดียว
Slice: รู้สึกว่าฟัน backhand slice ได้มั่นใจขึ้น ฟันลูกได้ขาดและเต็มวง ถ้าเทียบกับ PS85 แล้ว PS85 ก็ slice ดีแต่เหมือนว่าฟันได้ไม่ค่อยขาดเท่าไหร่แต่ลูกพุ่งลึกกว่า ถ้าเป็น PB10 Mid ก็จะลูกหมุนกว่าแต่จะไปตกสั้นกว่า


Boris Becker Delta Core Legend -- Demo

Rating:★★★
Category:Other
คราวนี้มาถึงคิวของ Boris Becker Delta Core Legend ซึ่งหลายๆคนคาดการณืกันว่าเป็นไม้ generation ใหม่ของ Puma Boris Becker Super ที่โด่งดังในอดีต เห็น spec แล้วก็น่าจะเป็นไม้ classic ได้เลย

- 98 sq.in
- 18x20
- Nearly box beam (20mm)
- 330g unstrung
- Even balance
- No shock absorbing handle
- Full CAP grommet

Short Review: โดยรวมแล้วผมคิดว่าเป็นไม้ที่อยู่ในระดับที่โอเคครับ ไม่มีอะไรที่โดดเด่นออกมาอย่างชัดเจน อาจจะเป็นเพราะ spec ที่ใกล้เคียงกับ Dunlop Aerogel 200 ที่ผมใช้อยู่ ความคาดหวังเลยสูงตามขึ้นไปด้วย

Groundstroke: ผิดจากที่คาดกับไม้ Boris Becker ครับ ไม้หัวไม่เบาเหมือนที่คิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ CAP grommet ที่ทำให้น้ำหนักหัวเพิ่มขึ้นหรือเปล่า โฟร์แฮนด์ต้องซวิงกันเต็มๆวงแล้วก็ลากยาวๆ แต่ถ้าแบ็คแฮนด์มือเดียวนี่เด็ดมาก ทั้ง flat และ slice ตีได้แน่นและลูกพุ่งดี แต่ถ้าเทียบกับ AG200 ผมว่า BB Legend ต้องออกแรงเยอะกว่า ตีแล้วเหนื่อยเร็ว ไม่ค่อยเหมาะกับคนที่เล่นแนว baseliner เท่าไหร่
Power: ต่ำกว่าที่คาดและก็ต่ำกว่า AG200 อยู่เยอะเหมือนกัน แต่ถ้าคนที่เล่น agressive game อาจจะชอบนะ ผมว่ามันคล้ายๆกับไม้ตระกูลพวก Head Radical หรือ Wilson KBlade 98 นะ เพราะมันเหมาะกับการยิงจากกลางคอร์ทมากกว่า
Feel: กลวงๆตื้อๆ (Hollow & Muted) ถ้าเทียบกับ Dunlop AG200 ยังห่างไกลอยู่ครับ






Friday, May 8, 2009

miAdidas - Create Your Own Shoes

Rating:★★★★★
Category:Other
miAdidas - Barricade V

วันก่อนไปเดินเล่นแถว Central World ก็ไปพบอะไรอย่างนึงน่าสนใจที่ Adidas Shop ผมเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้รองเท้ากีฬาเค้า customize กันได้แล้ว บริการแบบนี้เค้าเรียกว่า miAdidas ครับ สำหรับรองเท้าเทนนิส เค้ามี Mold ที่เป็น Barricade 5 ที่เราสามารถเลือกสี ความแข็งของพื้น วัสดุบุภายใน พื้น และที่สำคัญ "ความกว้างของเท้า"

ผมเป็นคนที่มีปัญหากับเรื่องขนาดความกว้างรองเท้ามาก ถ้าวัดแค่ขนาดความยาวเท้า ผมจะใส่แค่เบอร์ 8.5-9 แต่เนื่องจากเป็นคนเท้ากว้าง ที่ผ่านมาเลยต้องซื้อเบอร์ 10 ตลอดเพื่อให้ใส่ได้ แต่พอใช้ไปเรื่อยๆก็เกิดปัญหาว่ามันเหลือพื้นที่ตรงส่วนปลายเท้ามากเกินไป เวลาวิ่งแล้วมันไม่ค่อยกระชับ แล้วตอนเขย่งส้นเท้าก็เกือบจะล้นออกมา

วันแรกๆที่ไปดูทางร้านเค้าก็แนะนำให้ไปลอง customize ดูในเว็บไซท์ก่อน http://www.miadidas.com/us/Main.action


จนกระทั่งเมื่อวานเลยตัดสินใจลองดู เอาวะ! ไม่ลองก็ไม่รู้ ผมเลือกแบบที่ Tsonga ใช้อยู่ซึ่งออกแนวเหลือง-ดำ แบบ Bumblebee ขั้นตอนก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่
1. วัดความกว้าง-ยาว: Adidas เค้ามีรองเท้าให้ลองเกือบทุกเบอร์ แต่ละเบอร์มร 3 ความกว้าง Narrow, Standard, Wide
2. น้ำหนัก: ถ้า 85 กก. ขึ้นไปควรเลือกพื้นแบบ Firm
3. เลือกสีด้านนอก-ใน และเชือก ซึ่งมีประมาณ 7-8 สีให้เลือก
4. เลือกสีรูตาไก่: เงิน-ทอง
5. เลือกวัสดุบุด้านใน: Standard หรือ Comfort
6. ประเภทพื้นให้เหมาะกับพื้นคอร์ท: Hard Court หรือ Clay Court
7. เลือกลายธงชาติเพื่อปักบนลิ้นรองเท้า ถ้าไม่เอาก็จะเป็นลาย Adidas ธรรมดา
8. เลือกพิมพ์ชื่อบนส้นรองเท้าตรงที่เคยมีคำว่า Barricade

miAdidas - Bumblebee: Designed by Tsonga



Personalize ได้ด้วย


สีแนว Navy Blue นี่ก็ดูแจ่มกว่าสีเงินหรือสีขาวที่เป็นตัว retail ในปัจจุบันเยอะเลย



คู่นี้ผมลอง custom ให้ Federer ดูครับ



หลังจากเสร็จเรียบร้อยทางร้านจะส่ง order ไปตัดที่เมืองจีนซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ราคาต่อคู่อยู่ที่ 7,500 บาทแต่ถ้าเป็น US จะอยู่ที่ $140 ซึ่งก็แพงเอาเรื่องอยู่ แต่เท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในการเล่นเทนนิสครับ ถามว่าคุ้มมั๊ยผมว่ามันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เท่าที่ถามๆเพื่อนผมที่ Singapore มาเค้าบอกว่า miAdidas มันอยู่ได้นานเกินกว่า 1 ปีซึ่งก็นานกว่า Barricade ทั่วไปเพราะมันฟิตดีกว่าทำให้ลดการเสียดสีภายใน รองเท้าเลยไม่ขาดง่าย แล้วเค้าก็ค่อนข้างจะพอใจกับรองเท้ามากๆ ลองอ่าน BLOG ของ Nawin ดูครับ

http://www.regentville.com/2008/01/mi-adidas-custom-barricade-tennis-shoes.html

สำหรับผู้ที่สนใจ miAdidas ในเมืองไทยมีที่เดียวคือที่ Central World แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอยู่ไปอีกนานแค่ใหน ถ้ามีโอกาสลองแวะไปดูครับ

Update 5/30/2009: มาแล้วครับ หลังจากรอมาเกือบ 3 อาทิตย์ Adidas Barricade V Tsonga ตัวจริงดูดีกว่าในรูป สีสันกัดตาสุดๆ ลองใส่ดูแล้ว ฟิตเปรี๊ยะ กระชับมาก เดี๋ยวเสาร์-อาทิตย์นี้จะเอาไปลองแล้วจะมาเล่าสู่กันฟังครับ ตอนนี้ดูรูปกันไปก่อน






Tuesday, May 5, 2009

Babolat Pure Drive GT Standard and Roddick

Rating:★★★
Category:Other
มาแล้วครับ Flagship ตัวล่าสุดของ Babolat คราวนี้ Pure Drive ทำสีฟ้าแปร๋นแสบตามากๆ เห็นในทีวีครั้งแรกก็รู้สึกว่าสีมันไม่เข้าท่าเลย แต่พอได้เห็นตัวจริงก็ปิ๊งเลยครับ แล้วยิ่งตอนนี้อารมณ์ 16x19 กำลังขึ้นด้วย อะไรที่ออกมาใหม่เป็น 16x19 ก็อยากลองไปซะหมด จริงๆแล้วอยากได้ตัว Roddick มากกว่า แต่เผอิญว่าเพื่อนที่เมืองนอกมันอยากได้ตัว Standard เร็วๆ ก็เลยเป็นธุระจัดหาให้ แต่สุดท้ายมันบอกไม่เอาแล้ว ก็เลยต้องเก็บไว้เอง

สีที่สดใสขึ้นทำให้ไม้ดูอ้วนขึ้นเยอะเหมือนกัน ตรงที่เห็นเป็นเงาสะท้อนแสงนั่นไม่ใช่เงาจริงนะครับ แต่เค้าทำสีให้เหมือนกับเป็นเงาจริงๆ


ไม้ตัวนี้ขึ้นกล้องตรงด้านข้างครับ เพราะสัดส่วนสี ฟ้า-ดำ-ขาว มันลงตัวกันมากกว่ามองจากด้านหน้าซึ่งเห็นแต่สีฟ้าเต็มไปหมดอย่างกับท่อ PVC


Quick Review: ผมได้ลอง Pure Drive GT มา 3 ครั้งแล้ว ถ้าเทียบกับ Pure Drive Team (ตัวก่อน Cortex) ผมว่ามันก็คล้ายๆกันในแง่ spec แต่จริงๆแล้วต่างกันเยอะพอสมควร ที่ชัดๆเลยมี 2 เรื่องครับ Power กับ Feel

Power: ข้อแตกต่างที่เห็นชัดๆเลยคือ Power น้อยลงมาก ตี flat นี่ลูกตกสั้นตลอด หรือไม่ก็ติดเน็ตไปเลย ต้องอัดหนักหรือไม่ก็ต้องสปินไปเลย จะว่าไปแล้วเหมือนกับไม้มันบังคับให้เราต้องใส่ top spin ไปด้วย ซึ่งอาจจะดีกับหลายๆคนก็ได้เพราะ Pure Drive ตัวก่อนๆได้ชื่อว่าเป็นไม้ที่ over-power อยู่พอควรจน ลูกเหิน ตีออกหลัง เป็นเรื่องปกติ

Feel: ดีขึ้นแต่ออกมามาทางกระด้างนิดๆ ไม่ค่อยรู้สึกว่า Woofer มันทำให้ไม้เด้งดึ๋งดั๋งเหมือนก่อนแล้ว sweet zone ยังกว้างใหญ่เหมือนเดิม แต่ถ้าตีหลุด sweet zone ไม่พลิกค่อนข้างเยอะ (ไม้ที่ใหญ่กว่าและเบากว่าก็จะพลิกเยอะกว่า) ถามว่าถ้าติดตะกั่วจะช่วยมั๊ย...ผมว่ามันก็ช่วยแหละ คงจะ stable ขึ้นแน่นอน แต่ผมว่าก็ไม่ควรอยู่ดี เพราะไม้มันถูกออกแบบมาให้คุณต้องใส่สปิน ถ้าถ่วงตะกั่วเข้าไปอาจไม่เวิร์คก็ได้

รุ่นนี้ยังมี Cortex ที่ช่วยลด shock อยู่ครับ


รายละเอียดด้านในของคอไม้


ตัวไม้มีการเปลี่ยนวัสดุจาก Graphite + Kevlar มาเป็น Graphite + Tungsten


กริปเป็น Synthetic เหมือนเดิม


บทสรุป: Babolat Pure Drive GT เป็นไม้ที่ผมกล้าพูดได้ว่าเป็นไม้ประเภท low-powered ที่ต้องอาศัยสปินในการปั่นลูกข้ามเน็ท จริงแล้วมันน่าจะหลุดออกจากคำว่า Tweener Racquet ไปได้แล้ว ในบรรดาไม้ Babolat ที่ผมได้ลองๆมาแล้วคิดว่าลงตัวที่สุดคือ Pure Drive Roddick ครับ น้ำหนักที่มากกว่าช่วยให้ไม้ stable กว่ารุ่นธรรมดาเยอะเลย เพราะส่วนใหญ่ผมตี flat แต่คุณเน้นปั่นสปินมากๆโดยไม่ค่อยเน้น feel กับ stability ก็ไป AeroPro Drive เลยครับ แต่ถ้าจะเอาทั้ง flat กับ spin ก็ Pure Drive GT นี่แหละครับ

หรือถ้าอยากลองหาทางเลือกกับไม้ที่น้ำหนักใกล้ๆกัน ผมแนะนำ Boris Becker Pro ครับ ผมเคยรีวิวไว้แล้วที่นี่ http://suppawat.multiply.com/reviews/item/54

Update: เมื่อเช้านี้ได้ลองตี Babolat Pure Drive Roddick GT อยู่พักนึงครับ ตัวนี้ขึ้นเอ็น Pro Hurricane ไว้ โดยรวมผมว่าดีกว่ารุ่น Standard นิดนึงในเรื่อง stability ส่วน power ก็ใข้ได้ มากกว่าตัว Standard อย่างเห็นได้ชัด Swing Weight ก็ไม่มากเกินจนตี Backhand มือเดียวไม่ได้ไป แต่ในเรื่อง Feel ก็ยังคง Hollow เหมือนเดิม ถ้าใครอยากได้ตัวนี้จริงๆ ผมแนะนำเป็น Roddick ตัวเก่าดีกว่าครับ เพราะตัวนั้นเป็น Graphite ผสม Kevlar ซึ่งให้ Feel ที่แน่นกว่าเยอะเลย http://suppawat.multiply.com/reviews/item/7






Friday, May 1, 2009

Technifibre T-Fight 320 VO2 Max: The State Of The Art in Tennis

Rating:★★★★★
Category:Other
ช่วงวันหยุดยาวๆนี้ได้มีโอกาสลองของเล่นใหม่ๆเยอะครับ วันนี้ขอมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับไม้เทนนิสที่ในบ้านเราไม่มีการนำเข้าคือ Techifibre T-Fight 320 ซึ่งกำลังเป็นที่คุยกันให้แซ็ดในกลุ่มผู้รักเทนนิสแบบเข้าเส้นเลือดใหญ่ T-Fight VO2 Max ตัวนี้เรียกว่า "Art ตัวแม่" กันเลยทีเดียว Concept แรงมากๆ สีสันและลวดลายมีความหมายลึกซึ้งจริงๆ

ใครได้เห็น T-Fight 320 VO2 Max ตัวจริง บอกได้เลยว่ามี "คัน" (กระเป๋าตังค์)แน่นอน

ดูกันตัวเต็มๆก่อน รูปทรง mold ต่างจาก TFight รุ่นก่อนๆอยู่เหมือนกัน รุ่นนี้ออกจากติดเหลี่ยมนิดๆ


ซองใส่กำมะหยี่ปักลาย ดูสวยคลาสสิกได้ใจมากๆ แต่ดูๆไปแล้วเหมือนซองใส่ซออู้มากกว่า


Detail ตรงคอไม้ แดงครึ่ง ดำครึ่ง สลับกับลายตัวละครญี่ปุ่่น ผมก็นั่งตีความอยู่นาน จนในที่สุดก็ อ๋อ.....


Design Concept: ผมคิดว่าทางผู้ออกแบบจินตนาการว่า T-Fight คืออาวุธของนักรบที่ผ่านการสมรภูมิมาอย่างโชกโชน (มันถึงได้มีคำว่า Fight ในชื่อรุ่น)


ความหมาย: หน้าตัวละครญี่ปุ่นบนไม้น่าจะหมายถึงนักรบญี่ปุ่นโบราณหรือซามูไร สีดำหมายถึงสมรภูมิรบ และสีแดงน่าจะหมายถึงคราบเลือดบนดาบซามูไรนั่นเอง แหม ...ช่างคิดได้ แต่ Concept นี้แรงดีครับ สื่อความหมายได้ดีกว่าไม้ยี่ห้ออื่นๆเยอะเลย


VO2 technology ที่ทาง Technifibre อ้างว่าจำลองการทำงานมาจากการหายใจเข้า-ออกของมนุษย์ หรือ Breathing น่าจะประมาณว่าตอนที่ลูกกระทบเอ็นคือการหายใจเข้า และเมื่อลูกดีดออกไปคือการหายใจออก


Box beam design แบบเดิมที่ไม้ classic เค้ามีกัน


T-Fight 320 VO2 Max ชื่อรุ่นยาวจัง


ลวดลายตรงคอไม้เนี๊ยบมากๆ


มาดูซองใส่กันชัดๆอีกครั้งนึง เห็นแล้วน่าจะให้รางวัล Best Racquet Design 2009 จริงๆ


On the Playtest: วันนี้วันนี้เพิ่งเอาไปขึ้นเอ็นมาครับ ผมขึ้นด้วยเอ็นมัลติ 53 ปอนด์เพื่อให้ได้ feel ของไม้อย่างเต็มที่ เสร็จแล้วก็ลองเอาไปน็อคบอร์ดดู จริงแล้ววันนี้ก็ไม่ได้กะไปน็อคนานเพราะไม่ได้ใส่รองเท้าเทนนิส แถมใส่กางเกงเด็กแร็พยาวรุ่มร่ามเลยเข่าอีกต่างหาก ตอนแรกก็กะลองแค่ 5 นาทีเพื่อดูว่า feel แบบคร่าวๆว่าเป็นไงบ้าง แต่สุดท้ายก็ตีไปชั่วโมงกว่า

Feel: สัมผัสแรกๆไม่ต่างกับไม้ modern เท่าไหร่ แต่พอใช้ไปสักพักขอบอกว่ามัน "นุ่มลึก" หรือที่ฝรั่งเค้าชอบบอกว่า "buttery feel" ความรู้สึกถึงการกระแทกน้อยมาก ...นุ่มลึกคืออะไร? ความนุ่มอาจจะไม่ต้องบรรยายว่ามันคืออะไร แต่ "ความลึก" นี่สิน่าสนใจและเป็นสิ่งที่หาไม่ค่อยได้ในไม้รุ่นใหม่ๆ Technifibre นิยามว่า "breathing" ผมเริ่มพอจะเข้าใจแล้ว จริงๆมันก็คือการที่ลูกจมอยู่บนหน้าไม้นานกว่าปกติ (KBlade Tour ก็เป็นแบบนี้) ข้อดีที่เด่นๆก็คือมันลดแรงกระแทกตอนลูกบอลดีดตัวออกจากหน้าไม้ อีกอย่างคือมันควบคุมทิศทางได้ดี ข้อดีต่างๆเหล่านี้ผิดจากที่ผมคาดไว้เยอะครับ เพราะเคยใช้ TF335 ตัวเก่าที่ออกจะแข็งๆเลยไม่ค่อยคาดหวังอะไรจาก VO2 Max ตัวนี้ ถ้าจะจินตนาการก็ลองนึกภาพที่ คุณกำลังสับเนื้อด้วยปังตอ คุณจะรู้สึกถึงแรงกระแทกระหว่างปังตอกับเขียงใช่มั๊ยครับ แต่สำหรับ TF320 VO2Max ตัวนี้จะให้ความรู้สึกเหมือนใช้มีดคมๆแร่เนื้อมากกว่า ผมไม่สามารถบรรยายได้มากกว่านี้ ต้องลองดูเองครับ :)

Swingweight: ไม่รู้เป็นตัวเลขแน่นอน แต่มัน "ซวิงธรรมชาติ" มากๆคล้ายกับ Pro Staff 85 เลย ตีแบบเน้นข้อมือได้ว่องไวมาก หน้าไม้ aerodynamic พอควร ผมว่ามันเป็นไม้ที่คล่องและตีลูกประชิดตัวหรือตีบล็อกได้ดีมากๆ จะว่าไปแล้วมันก็น่าจะเหมาะกับผู้ฝึกสอนที่ต้องคอยป้อนลูกให้นักเรียนตีอัดตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่านะครับ อย่างที่บอกผมกะว่าไปลองแค่ 5 นาทีแต่ด้วย Friendly Swingweight ทำให้ผมตีได้นานกว่าชั่วโมงทั้งที่ไม่ได้เตรียมตัวมาพร้อม

Slice and Spin: "กัดลึก" อย่างที่บอกว่าลูกมันจมอยู่บนหน้าไม้นานกว่าและซวิงง่าย-ลู่ลม ทำให้ความสามารถในการปั่นลูกมีสูง ต้องบอกว่ามันกัดลูกลึก (ลึกอีกแล้ว) ใช้ได้ครับ ขนาดตั้งใจตี flat ยังได้ spin เป็นของแถมเลย ตีไป 10 นาทีขนลูกติดบนหน้าไม้เต็มเลย

Control: ยังไม่ได้ลองอะไรมาก แต่จะบอกว่ามันเป็นไม้ 16x19 ที่ผมตีได้ "ตรง" ที่สุด (ไม่รู้ว่าตรงนี้เป็นอานิสสงค์ของ Breathing หรือเปล่า)

Power: มากกว่าไม้ control ทั่วไป มากกว่าพวก Wilson KBlade หรือ K95 ตี heavy ball ได้ดีกว่าแน่นอนเพราะว่า 1) มัน power มันเกิดจากการ"ดีด"มากกว่าการกระแทก และ 2) มันมักจะติดสปินเป็นของแถมแม้ว่าจะตั้งใจตี flat แค่ใหนก็ตาม

Groundstroke: "ลื่นไหล" และ "หนักแน่น" ทั้ง Forehand และ Backhand โดยเฉพาะ Backhand มือเดียวนี่นิ่งและตรงมาก ต้องย้ำว่า "ตรง" หลายๆครั้งหน่อยเพราะมันเด่นเหลือเกิน แต่เดี๋ยวขอไปลองตีในสนามจริงๆก่อนแล้วจะมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมครับ :)

Babolat Pure Storm Limited (Demo) - The Three Musketeers

Rating:★★★★
Category:Other
มาแล้วครับ Babolat Pure Storm Limited (PSL) ที่เลื่องลือกันมานานตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีขายในเมืองไทยเลย ก็เหมือนกับว่า Babolat หลอกให้อยากแล้วจากไป จนกระทั่งมาขายที่เมืองไทย ความอยากที่ build กันมานานข้ามปีก็ได้หายไป แต่พอดีว่าเมื่อช่วงหลังสงกรานต์ได้ไปล่อซื้อ Technifibre TFight 320 VO2 Max มา ก็เลยได้เจ้า PSL มาให้ลอง demo เป็นของแถม ต้องบอกว่า "ของเค้าดีจริง"

Appearance: ตอนที่ได้ไม้มานั้นก็มืดพอสมควรเลยไม่ค่อยเห็นอะไรเท่าไหร่ ก็ได้แค่ลูบๆคลำๆ ก็ผิวเนียนเป็นผู้ดีใช้ได้ แต่พอตื่นเช้ามาถึงได้มีโอกาสจับมาถ่ายรูป โอ้แม้เจ้า...ไม้ตัวนี้ขึ้นกล้องจริงๆครับ หน้าตาหล่อเหลา sexy ติดเรท "ฉ" ได้เลย

ดูกันตัวเต็มๆก่อน สีสันดูแล้วต่างกับสายพันธุ์ Babolat แบบเดิมๆโดยสิ้นเชิง ขนาดหน้าไม้ก็ลดลงมาเหลือ 95 sq.in ถ้าดูแค่ภายนอก PSL ตัวนี้ดูๆแล้วก็ได้เชื้อจากทางบรรพบุรุษไม้ classic รุ่นเก่าๆมาเยอะเหมือนกัน อย่างแรกเลยคือเรื่องสี ดำ เหลือง แดง ขาว (ดูแล้วเยอรมันมากๆ) ซึ่งออกแนวๆ Wilson Pro Staff Classic อย่างที่สองก็คือ Box Beam และสุดท้ายก็กริปหนังที่ถือว่าเป็นสูตรสำเร็จไม้ classic


เปรียบเทียบกับ Classic ตัวพ่อ: Wilson Pro Staff 85 St.Vincent สังเกตที่สี


เปรียบเทียบกับ Classic ตัวอารอง: Wilson Pro Staff 85 China สังเกตที่สี...อีกที


เปรียบเทียบกับ Classic พี่ใหญ่: Wilson K Pro Staff 88 สังเกตที่สี...อีกที...เหมือนเดิมเด๊ะ


และแล้วก็ถึงตาของ Baby Classic: Babolat Pure Storm Limited โทนสี ดำ-แดง-เหลือง-ขาว เหมือนกันเลย แต่ Babolat นี่ติดเหลืองเยอะกว่า


ผมได้เล่นเป็นชั่วโมงที่ 3 แล้วผลพอสรุปได้สั้นๆว่า มันไม่มีความเป็น Babolat เหลืออยู่เลย Woofer Feel ที่เด้งดึ๋งดั๋งหายไปหมด (เอ็นที่มากับไม้เป็นไฮบริด Babolat Xcel กับ Hurricane แล้วก็น่าจะตึงมากกว่า 55 ปอนด์) แต่ PSL กลับมีคุณสมบัติเด่นของไม้ระดับ Tour อยู่ 3 ชนิดด้วยกันจนสามารถเรียกได้ว่าเป็น The Three Musketeers เลยก็ว่าได้ เพราะพี่แกถอดแบบมาจากไม้ต้นฉบับได้เนียนมากๆ

Ball Impact Feel: นอกจากสีสันคล้ายๆกับ Wilson Pro Staff 85 แล้ว Feel ก็คล้ายๆกับ Pro Staff 85 มากๆด้วยเหมือนกัน (แต่ซวิงง่ายกว่า) ยิ่งถ้าตีโดนตรงกลาง sweet zone (ที่เล็กมากๆ) ด้วยละก็ Solid & Muted แบบ Wilson ยังไงยังงั้นเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่ stable เท่ากับ PS85

Power: ต่ำมากๆคล้ายกับ Head Radical คือต้องตวัดหน้าไม้เร็ว หรือไม่ก็ต้องหวดกันแบบแขนพันอ้อมไปถึงด้านหลังกันเลยทีเดียว ยิงลูก power winner ยากมาก เพราะน้ำหนักไม้มันเบาไปหน่อย ไม่ค่อยจะได้ momentum จากไม้มาช่วยเลย แต่ถ้าเน้น Precision Game ก็จะน่าจะเหมาะกว่า นอกจากนี้ Plow-Thru ต่ำด้วย ถ้าเป็นไม้ classic อย่าง PC600 นี่แค่กำไม้หลวมๆแล้วดันไม้ไปข้างหน้า ลูกมันก็พุ่งไปได้แล้ว แต่ PSL นี่ผมต้องกำกริปแน่นๆแล้วใส่กันสุดๆ ลูกมันถึงจะออก สรุปว่าเหนื่อยครับ ถ้าใครเล่นเพื่อเน้นออกกำลังกาย PSL นี่น่าจะเหมาะครับ :P

Swingweight and stability: คล้ายๆกับ Volkl PB10 ถ้าใครได้ตีไม้ Volkl มาก่อนจะรู้ว่าไม้ Volkl ส่วนใหญ่จะค่อนข้าง aerodynamic ซวิงง่ายเหลือเกิน เร่งสปีดหน้าไม้ได้ดี แต่กับตัว PSL นี่ผมทึ่งนะ เพราะรูปร่างมันไม่ค่อยจะลู่ลมเท่าไหร่ แต่มันกลับซวิงได้เบาและลื่นไหลพอๆกับ Volkl PB10 เลย แต่ถ้าเปรียบเทียบกับ Wilson PS85 และ Head PC600 ก็ต่างกันมากอยู่

- PSL กับ Volkl PB10 น้ำหนักหัวค่อนข้างเบาและลู่ลม ต้องออกแรงซวิงจนครบวง (Full Swing)
- PS85 กับ PC600 น้ำหนักมากกว่า ต้องออกแรงช่วงครึ่งวงแรกมากพอควร แต่ช่วงครึ่งหลังที่เป็น follow-thru น้ำหนักไม้มันจะพาไม้ไปครบวงเอง ซวิงเป็นธรรมชาติมากกว่า

ข้อเสียอีกอย่างนึงคือเรื่อง stability ทั้ง Volkl PB10 และ PSL มีปัญหานี้ทั้งคู่ ผมคิดว่าควรจะต้องถ่วงตะกั่วเพิ่มตรง 3 และ 9 นาฬิกาเพื่อแก้ปัญหาตรงนี้ครับ

บทสรุป: ชอบครับ ผมชอบ feel กับความคล่องตัว ปัจจัยหลักที่ผมใช้ในการเลือกไม้ก็คือ feel อย่างเดียวเลย เพราะ feel มันแก้ไขกันยากครับ มันเป็นเรื่องของโครงสร้างไม้ กับ graphite lay-up ที่ตะกั่วไม่สามารถเข้ามาแก้ปัญหาได้ ส่วนน้ำหนัก บาลานซ์ และความนิ่งเป็นเรื่องรอง เพราะมันสามารถปรับแต่งกันได้ด้วยตะกั่ว PSL ตัวนี้ให้ ball impact feel ที่ classic ดีมากๆ เพราะฉะนั้นถ้าใครจะหาไม้ที่มี classic feel มาใช้ อยากแนะนำให้มาลอง Babolat Pure Storm Limited ก่อนครับ หรือถ้าใครเล่นเกมส์เชิงรับและเน้นการวางบอล PSL ก็เหมาะครับ

Rating: เอาไป 4.5 ดาวละกัน

Spec แบบนี้ Babolat ไม่เคยมีมาก่อน ผมมองว่า Babolat กำลังใช้ PSL เป็นตัวโยนหินถามทางเพื่อจะแย่งตลาดไม้หน้า 95 จาก Wilson เป็นผู้นำตลาดอยู่ แล้ว Wilson เองปีนี้ออกไม้หน้า 100 มาเกือบสิบรุ่นเพื่อแย่งตลาด Babolat Pure Drive เหมือนกัน


PSL มาพร้อมกับกริปหนังเพื่อประกาศว่านี่คือ Classic Racquet ครับ


ไม้ Classic ต้องคอเล็กๆเว้าๆ แบบนี้เพื่อเพิ่ม flexibility ครับ


Carbon Extreme คืออะไรก็ไม่รู้ แต่ให้ feel เหมือนกับ Graphite + Kevlar ใน PS85 เลย


อีกมุมนึงของคอไม้ ผมชอบคุณภาพงานสีของ Babolat จริงๆ ดีกว่า Wilson เยอะครับ


Credit: ขอบคุณพี่อ้วน Thai Tennis ที่ให้ยืมไม้มาลองครับ